ธรรมชาติที่สวยงาม

ปฏิทินของหนูเองค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2553

หมู่เกาะตะรุเตา-จังหวัดสตูล


อุทยานแห่งชาติตะรุเตา
เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของประเทศไทย มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์ และความสวยงามของธรรมชาติ ตั้งอยู่ในทะเลอันดามัน ห่างจากตัวเมืองสตูลประมาณ 40 กิโลเมตร และห่างจากฝั่งที่ท่าเรือปากบารา 22 กิโลเมตร มีอาณาเขตทิศเหนือจดอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ทิศใต้จดทะเลที่เป็นแนวพรมแดนระหว่างประเทศไทยและสหพันธรัฐมาเลเซีย มีพื้นที่ทั้งเกาะและทะเลรวมกันประมาณ 1,490 ตารางกิโลเมตร ประกอบไปด้วยหมู่เกาะใหญ่น้อย จำนวน 51 เกาะ มีเกาะขนาดใหญ่ 7 เกาะ ได้แก่ เกาะตะรุเตา เกาะอาดัง เกาะราวี เกาะหลีเป๊ะ เกาะกลาง เกาะบาตวง และเกาะบิสสี แบ่งออกเป็น 2 หมู่เกาะใหญ่ คือ หมู่เกาะตะรุเตา และหมู่เกาะอาดัง-ราวี ได้รับการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2517 และ ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2525 ให้เป็นมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Parks and Reserves) ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน – เมษายน
ประวัติโดยย่อ
เกาะตะรุเตา นับเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของอุทยาน มีพื้นที่ 152 ตารางกิโลเมตร สภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาที่มี สภาพเป็นป่าดิบชื้นซึ่งยังมีพรรณไม้และสัตว์ป่าที่น่าสนใจจำนวนไม่น้อย และมีพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นป่าชายเลน นอกจากนี้ยังมี อ่าวน้อยใหญ่ที่มีชายหาดสวยงามอยู่หลายแห่ง และในท้องทะเลของ เกาะตะรุเตา ยังมีพันธุ์ปลามากมายหลายชนิดรวมทั้ง เต่าทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ 4 ชนิด คำว่า “ ตะรุเตา ” นี้ เพี้ยนมาจากคำว่า “ตะโละเตรา” ในภาษามลายูแปลว่า มีอ่าวมาก นอกจากสภาพธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แล้ว เกาะตะรุเตา ยังมีประวัติศาสตร์ที่น่าจดจำ โดยในปี พ.ศ. 2479 รัฐบาลมีนโยบายให้กรมราชทัณฑ์จัดหาสถานที่เพื่อจัดตั้งนิคมฝึกอาชีพ และเป็นสถานที่กักกันนักโทษ เกาะตะรุเตา ซึ่งอยู่ห่างไกลจากฝั่ง เต็มไปด้วยปัจจัยทางธรรมชาติที่เป็นอุปสรรคต่อการหลบหนี ก็ได้ถูกกำหนดให้เป็นสถานที่จัดตั้งนิคมดังกล่าว มีการจัดสร้างอาคารที่ทำการ บ้านพักของผู้คุม เรือนนอนนักโทษ และโรงฝึกอาชีพขึ้นที่อ่าวตะโละวาว และอ่าวตะโละอุดัง ในปี พ.ศ.2481 นักโทษชุดแรกจำนวน 500 คนก็ได้เดินทางมายัง ตะรุเตา และทยอยเข้ามาอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งในช่วงปี พ.ศ.2482 รัฐบาลได้ส่งนักโทษการเมือง 70 คน ซึ่งเป็นกลุ่มนักโทษจากเหตุการณ์กบฏบวรเดชและกบฏนายสิบ มากักบริเวณอยู่ที่อ่าวตะโละอุดัง
ในปี พ.ศ.2484 สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่อุบัติขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อนิคมฝึกอาชีพ ตะรุเตา เนื่องจากเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร และยารักษาโรค นักโทษเจ็บป่วยล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ผู้คุมและนักโทษจำนวนหนึ่งจึงได้ออกปล้นสะดมเรือสินค้าที่ผ่านไปมาในน่านน้ำบริเวณช่องแคบมะละกา จนทำให้เรือสินค้าไม่กล้าล่องเรือผ่านมาในบริเวณนั้น ในปี พ.ศ.2489 รัฐบาลอังกฤษซึ่งปกครองมลายูอยู่ในขณะนั้น ได้ขออนุญาตจากรัฐบาลไทยในการส่งกองกำลังเข้าปราบปรามโจรสลัด ตะรุเตา จนสำเร็จ ต่อมากรมราชทัณฑ์ได้ประกาศยกเลิกนิคมฝึกอาชีพ ตะรุเตา และหลังจากนั้น เกาะตะรุเตา ก็ถูกทิ้งร้างเป็นเวลา 26 ปี จนกระทั่งวันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2517 กรมป่าไม้ได้ประกาศจัดตั้งอุทยานแห่งชาติตะรุเตาขึ้น โดยนับเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของประเทศไทย

ในปี พ.ศ.2525 อุทยานแห่งชาติตะรุเตาได้รับการยกย่องจากองค์การ UNESCO ให้เป็น มรดกแห่งอาเชียน (ASEAN Heritage Parks and Reserves)

หมู่เกาะลันตา-จังหวัดกระบี่


อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา
มีเนื้อที่ประมาณ 152 ตารางกิโลเมตร ในอำเภอเกาะลันตา ประกอบด้วยเกาะต่างๆ ที่สำคัญได้แก่ เกาะลันตาใหญ่ เกาะลันตาน้อย เกาะตะเล็งเบ็ง และเกาะใกล้เคียง รวมไปถึงหมู่เกาะห้า หมู่เกาะรอก และเกาะไหง
เกาะที่น่าท่องเที่ยวของอุทยานฯ ได้แก่
เกาะลันตาน้อย เป็นเกาะที่เป็นชุมชนของชาวเกาะลันตาในอดีตมาก่อน มีที่ว่าการอำเภอ มีโรงเรียนวิถีชีวิตแบบเก่า ๆ บ้านเรือนโบราณยังมีให้พบเห็น
เกาะลันตาใหญ่ มีรูปร่างยาวเรียวจากเหนือมาใต้ ศูนย์กลางธุรกิจของเกาะอยู่ที่บริเวณท่าเรือศาลาด่านซึ่งมีทั้งบริการท่องเที่ยว ร้านอาหาร ธนาคาร ด้านตะวันตกเรียงรายไปด้วยชายหาดและอ่าวที่สวยงามมากมายได้แก่ หาดคอกวาง หาดโละบารา อ่าวพระแอะ หาดคลองโขง หาดคลองนิน และมีถนนตัดจากท่าเรือตอนเหนือผ่านชายหาดต่าง ๆ ไปจนถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตาซึ่งอยู่ตอนใต้สุดของเกาะ พื้นที่ส่วนใหญ่บนเกาะมีสภาพเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน ปกคลุมด้วยป่าที่สมบูรณ์ ส่วนด้านตะวันออกมีชุมชนเก่าของเกาะลันตาเนื่องจากเคยเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอมาก่อน ซึ่งย้ายไปอยู่ที่เกาะลันตาน้อย ชาวบ้านส่วนใหญ่บนเกาะลันตานับถือศาสนาอิสลาม และที่บ้านสังกะอู้ยังมีชนพื้นเมืองที่ยังคงยึดถือวัฒนธรรมประเพณี ได้แก่ ประเพณีลอยเรือ ไม่ไกลจากที่ทำการอุทยานฯ มีจุดชมวิว แหลมโตนด ซึ่งเป็นที่ตั้งของประภาคาร จากมุมนี้สามารถมองเห็นโค้งอ่าวกรวดและอ่าวหาดทรายขาวสะอาดมาบรรจบกัน ตอนปลายสุดของแหลมเป็นที่ตั้งของเกาะหม้อ เป็นจุดดำดูปะการังน้ำลึก นอกจากจุดชมวิวแหลมโตนดแล้ว
ยังมีจุดชมวิวบนยอดเขาบริเวณตอนกลางเกาะที่มีร้านอาหารสามารถนั่งรับประทานอาหารพร้อมกับชมทิวทัศน์ของทะเลอันดามันที่มีเกาะต่าง ๆ อยู่ท่ามกลางผืนน้ำสีน้ำเงิน
บนเกาะลันตาใหญ่มีที่พักเอกชนเปิดให้บริการมากมาย ฤดูท่องเที่ยวอยู่ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-พฤษภาคม นักท่องเที่ยวที่ต้องการพักค้างแรมในบริเวณที่ทำการอุทยานฯ ควรติดต่อล่วงหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา เลขที่ 5 ตำบลเกาะลันตาใหญ่ อำเภอเกาะลันตา จังหวัดกระบี่ 81150 โทร. 0 7562 9018-9

หมู่เกาะพีพี-จังหวัดกระบี่


หมู่เกาะพีพี เป็นหมู่เกาะกลางทะเล อยู่ห่างจากอำเภอเมือง 42 กิโลเมตร เดิมชาวทะเลเรียกหมู่เกาะนี้ว่า “ปูเลาปิอาปิ” คำว่า “ปูเลา” แปลว่าเกาะ คำว่า “ปิอาปิ” แปลว่าต้นไม้ทะเลชนิดหนึ่งจำพวกแสม และโกงกาง ต่อมาเรียกว่า “ต้นปีปี” ซึ่งภายหลังกลายเสียงเป็น “พีพี” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรแห่งบุปผาใต้สมุทรนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวหมู่เกาะนี้ส่วนใหญ่มาเพื่อดำน้ำดูปะการังดอกไม้ทะเล และปลาหลากสีสันที่สวยงาม นอกจากนั้นยังมีเกาะต่าง ๆ ที่อยู่ระหว่างเส้นทางเดินเรือ กระบี่-ภูเก็ต-หมู่เกาะพีพี ประกอบด้วยเกาะ 6 เกาะ คือ เกาะพีพีเล เกาะพีพีดอน เกาะยูง เกาะไม้ไผ่ เกาะบิดะนอก และเกาะบิดะใน ซึ่งแต่ละเกาะมีหาดทรายสวย น้ำทะเลใสอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามัน ด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่สวยงามตามธรรมชาติ รอบๆ เกาะมีปะการัง กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ คือ ภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้นๆ ถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด สุสานหอย มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 242,437.17 ไร่ หรือ 387.90 ตารางกิโลเมตร ตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2520 ให้จังหวัดภูเก็ต เป็นจังหวัดที่รัฐบาลพัฒนาให้เป็นเมืองท่องเที่ยว มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง สมควรอนุรักษ์ไว้เป็นแหล่งท่องเที่ยวถาวรต่อไป กองอุทยานแห่งชาติ จึงเสนอกรมป่าไม้ให้มีคำสั่งที่ 1261/2523 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2523 ให้ นายสันติ สีกุหลาบ นักวิชาการป่าไม้ 4 ไปทำการสำรวจพื้นที่ เพื่อจัดตั้งอุทยานแห่งชาติทางทะเล ในท้องที่จังหวัดภูเก็ตและติดต่อจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจากการรายงานการสำรวจปรากฏว่า พื้นที่บริเวณเกาะพีพี และหมู่เกาะใกล้เคียง ระหว่างจังหวัดภูเก็ตและกระบี่ มีความเหมาะสมที่จะจัดเป็นอุทยานแห่งชาติ ตามหนังสือรายงานผลการสำรวจลงวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2524 และป่าไม้เขตนครศรีธรรมราชได้มีหนังสือที่ กส.0709(นศ)/269 ลงวันที่ 19 มกราคม 2525 แจ้งว่า ป่าบริเวณหาดนพรัตน์ธาราและหมู่เกาะใกล้เคียง รวมถึงหมู่เกาะพีพีในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ มีทิวทัศน์ และธรรมชาติสวยงาม เห็นสมควรจัดเป็นอุทยานแห่งชาติอีกแห่งหนึ่ง


เกาะราชา


เกาะราชา สวรรค์ในทะเลอันดามัน จ.ภูเก็ต
2ปีเต็มๆที่ผมว่างเว้นจากการเดินทางท่องเที่ยวไปต่างจังหวัดไกลๆ นับจากประเทศ ประสบกับภาวะทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่ปี 2540 แต่ในปี 2542 นี้เหตุการณ์โดย ทั่วไปมีแนวโน้มค่อนข้างดีขึ้น ธุรกิจการท่องเที่ยวรวมไปถึงธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับ การท่องเที่ยวเริ่มดูคึกคัก หลายจังหวัดได้ตอบรับกับปี Amazing Thailand พร้อมกับได้ จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวในจังหวัดของตนเอง
ภูเก็ตเป็นจังหวัดที่ผมเดินทางมาค่อนข้างจะบ่อย ทั้งนี้เพราะชีวิตตัวเองได้ผกผัน ให้มาผูกพันกับคนภูเก็ตไปแล้ว ดังนั้นในเดือนเมษายนหรือช่วงระหว่างสงกรานต์ จึงถือโอกาสลาพักร้อน เดินทางด้วยรถส่วนตัวตระเวนเที่ยวในหลายจังหวัดทางภาคใต้ แล้วมาจบลงที่ภูเก็ต ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวและถือโอกาสพาสมาชิกของครอบครัว
มาเยี่ยมญาติพี่น้องพร้อมกันไปด้วย ด้วยเหตุนี้แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในจังหวัดภูเก็ตจึงคุ้นเคยมาแล้ว เป็นส่วนใหญ่
เกาะราชา” ชื่อนี้ไม่คุ้นหูนัก ผมอ่านเจอในหนังสือนิตยสาร อ.ส.ท. เล่มเก่าๆย้อนหลังไปราว 2 ปี บอกว่าเกาะแห่งนี้เป็นสถานท่องเที่ยวแห่งใหม่ของทะเลภูเก็ตซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จัก สอบถามจากเพื่อนฝูงหลายๆคนที่คุ้นเคยกับเที่ยวทะเลก็ไม่มีใครเคยไป แต่เห็นภาพทะเลสวยๆที่ลงไว้ในหนังสือ อสท. ดึงดูดความสนใจไม่น้อย เลยต้องจัดโปรแกรมเที่ยวเกาะราชาไว้ในทริปของการเดินทางในครั้งนั้น
จากประสพการณ์ที่เคยมาเกาะภูเก็ตอยู่บ่อยครั้งในช่วงเดือนเมษายนของแต่ละปี มักจะเห็นความไม่แน่นอนในเรื่องพายุฝนหรือลมมรสุมที่อาจรุนแรงจนทำให้ไม่สามารถออกทะเลไปเที่ยวไกลๆได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่นักท่องเที่ยวที่คุ้นเคยกับการเที่ยวทะเลในย่านนี้มักจะทราบกันดีว่า เมื่อย่างเข้าเดือนเมษายนไปแล้วโอกาสเจอมรสุมเป็นไปได้ค่อนข้างมาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงเริ่มเบนเข็มไปเที่ยวทะเลบริเวณอ่าวไทยแทนเช่นเกาะสมุยเป็นต้น ซึ่งทะเลอ่าวไทยในช่วงนั้นจะปลอดภัยกว่า


หมู่เกาะชุมพร-จังหวัดชุมพร


อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร เป็นพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนกลางด้านตะวันตก ประกอบด้วยพื้นน้ำทะเล ชายหาด อ่าว ป่าชายเลน ภูเขา และเกาะน้อยใหญ่ทั้งสิ้น 40 เกาะ ขอบเขตอุทยาน แห่งชาติเริ่มจากเกาะจระเข้ในเขตอำเภอปะทิว เรื่อยมาถึงบริเวณเกาะง่ามใหญ่ เกาะง่ามน้อย เกาะเสม็ด ต่อกับเกาะมะพร้าว เกาะมาตรา เกาะทองหลาง
ทะเลชุมพรนั้นสวยงามและเหมาะสำหรับการดำน้ำ ทั้งน้ำตื้นและน้ำลึก เป็นจุดดำน้ำอีกจุดหนึ่งที่นักดำน้ำไม่ควรจะมองผ่านเลยไป เพราะเป็นจุดดำน้ำที่คงความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเล และฝูงปลานานาชนิด ปะการังดำ ดงดอกไม้ทะเลสุดลูกหูลูกตา และฉลามวาฬ ยักษ์ใหญ่ใจดีที่แวะเวียนมาทุกหน้าร้อน โดยเฉพาะเดือนเมษายน จะมีโอกาสพบได้บ่อย
หมู่เกาะชุมพร เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่โดดเด่นมากอีกแห่งหนึ่ง ด้วยข้อได้เปรียบที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ นัก จึงเหมาะสำหรับผู้รักทะเลและชอบดำน้ำชมปะการัง สามารถเดินทางมาพักผ่อนได้เต็มที่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ทะเลชุมพรมีเกาะเรียงรายมากกว่า 40 เกาะ แต่ละเกาะล้วนเต็มไปด้วยความงดงามของธรรมชาติแตกต่างกัน บางเกาะมีหาดทรายขาวละเอียด บางเกาะเป็นภูเขาหินปูนที่มีรูปทรงแปลกตาน่าชม รอบเกาะยังคงเต็มไปด้วยแนวปะการังสมบูรณ์ แม้บางเกาะจะมีสัมปทานรังนก แต่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปพักผ่อนและเล่นน้ำทะเลได้ เกาะที่นิยมไปเที่ยวกันมีประมาณเจ็ดแปดเกาะ เช่น เกาะง่ามใหญ่ เกาะง่ามน้อย เกาะทะลุ ฯลฯ โดยเกาะส่วนใหญ่ของทะเลชุมพรอยู่ในเขตพื้นที่ดูแลของ อช. หมู่เกาะชุมพร จุดให้บริการเรือนำเที่ยวหมู่เกาะชุมพรอยู่ตามหาดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไม่ไกลจากตัวเมืองชุมพร ได้แก่ หาดทุ่งวัวแล่น หาดทรายรี และที่ที่ทำการ อช. หมู่เกาะชุมพร โดยควรเช่าเรือจากจุดให้บริการตรงชายฝั่งที่อยู่ใกล้ที่สุดกับเกาะที่ต้องการไปเที่ยว เพราะจะย่นระยะเวลาเดินทางและเสียค่าเช่าเรือถูกกว่า เนื่องจากเกาะต่าง ๆ อยู่เรียงรายขนานชายฝั่งตั้งแต่ อ. ปะทิว ลงไปถึง อ. เมือง เป็นระยะทางไกลกันมาก

หมู่เกาะอ่างทอง-จังหวัดสุราษฎร์ธานี


ทะเลใน หนึ่งเดียวในอ่าวไทย
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง เป็นหมู่เกาะในอ่าวไทยท้องที่ตำบลอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่ห่างจากเกาะสมุยและเกาะพะงันไปทางทิศตะวันตกประมาณ 20 กิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะต่างๆ ประมาณ 40 เกาะ ตามเกาะต่างๆ จะมีหาดทรายอยู่เกือบทุกเกาะ บางเกาะหาดทรายมีสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ บางเกาะมีปะการังตามชายทะเลหลายชนิด สีสวยงามหลากสี อยู่ท่ามกลางความเงียบสงบ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองมีเนื้อที่ประมาณ 63,750 ไร่ หรือ 102 ตารางกิโลเมตร
บริเวณ หมู่เกาะอ่างทอง แต่เดิมเป็นพื้นที่หวงห้ามของกองทัพเรือซึ่งมีโครงการจะสร้างฐานทัพเรือเพื่อควบคุมความปลอดภัย ของประเทศทางด้านอ่าวไทย แต่ด้วยมีทิวทัศน์สวยงาม ทะเลสาบ หน้าผา ถ้ำทะลุ เกาะรังนกนางแอ่น นกนานาชนิด และแนวปะการัง เป็นแหล่งอาศัยและเพาะพันธุ์ปลานานาชนิด ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2518 นายสมบูรณ์ วงศ์ภักดี นักวิชาการป่าไม้ตรี กองอุทยานแห่งชาติ ได้เขียนบทความสารคดีเรื่อง “หมู่เกาะอ่างทอง อุทยานแห่งชาติทางทะเล” ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน 2518 สรุปสาระสำคัญว่า ควรจัดหมู่เกาะอ่างทอง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเล ประกอบกับกองอุทยานแห่งชาติได้มีโครงการอยู่แล้วเช่นกัน และคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2518 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2518 ให้กรมป่าไม้พิจารณาจัดหมู่เกาะอ่างทองเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลอีกแห่งหนึ่ง

ในปี พ.ศ. 2518 กองอุทยานแห่งชาติ ได้มีบันทึกที่ กส.0708/915 ลงวันที่ 19 พฤศจิกายน 2518 เสนอกรมป่าไม้ ให้นายสมบูรณ์ วงศ์ภักดี นักวิชาการป่าไม้ตรี ไปทำการสำรวจ ปรากฏว่า หมู่เกาะอ่างทอง ประกอบด้วยเกาะประมาณ 40 เกาะ มีทิวทัศน์สวยงาม ทะเลสาบ หน้าผา ถ้ำทะลุ เกาะรังนกนางแอ่น และนกนานาชนิด ปะการัง เป็นแหล่งอาศัยและเพาะพันธุ์ปลานานาชนิด กรมป่าไม้จึงได้เสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติซึ่งได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2519 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2519 ให้กรมป่าไม้ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับหมู่เกาะอ่างทองกับกระทรวงกลาโหม และทำการตรวจสอบที่ดินบริเวณดังกล่าว กองอุทยานแห่งชาติ ได้มีหนังสือที่ กส.0708/1613 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2519 เสนอกรมป่าไม้ให้ นายสินไชย บูรณะเรข นักวิชาการป่าไม้ 4 ไปดำเนินการตามมติคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ และกระทรวงกลาโหมได้มีหนังสือที่ กห. 0352 / 26927 ลงวันที่ 17 ธันวาคม 2519 ไม่ขัดข้องในการที่กรมป่าไม้จะกำหนด หมู่เกาะอ่างทอง เป็นอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้จึงได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติซึ่งได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2520 เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2520 เห็นชอบให้กำหนดเป็นอุทยานแห่งชาติได้ ทั้งทางจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้มีหนังสือที่ สฎ.25/21994 ลงวันที่ 18 เมษายน 2520 ให้การสนับสนุนการจัดตั้งอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินบริเวณหมู่เกาะอ่างทองในท้องที่ตำบลอ่างทอง อำเภอสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมเนื้อที่ 102 ตารางกิโลเมตร ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 97 ตอนที่ 174 ลงวันที่ 12 พฤศจิกายน 2523 นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 21 ของประเทศไทย

เกาะนางยวน-จังหวัดสุราษฎร์ธานี


เกาะนางยวน เป็นเกาะหนึ่งในจำนวน 100 เกาะของจังหวัดสุราษฏร์ธานี อยู่ปลายของเกาะเต่ามองเห็นเป็นเกาะเล็กๆ 3 เกาะซึ่งเชื่อมต่อด้วยหาดทรายสีขาว 3 สาย เสน่ห์ของเกาะนางยวนมาจากน้ำสีมรกตที่ใสจนมองเห็นปลาเล็ก ปลาน้อย และเปลือกหอย และปะการัง ซึ่งอยู่ใต้น้ำอย่างชัดเจน ซึ่งรวมถึงบรรยากาศที่เป็นส่วนตัว อากาศสดชื่น มีทั้งความเขียวของเขาเล็กๆ 3 เขารายรอบ และความงามของท้องทะเลมาบรรจบกันบังกาโลที่เกาะนางยวน สร้างเล่นระดับอย่างผสมกลมกลืนกับธรรมชาติอย่างที่สุด ทุกๆหลังจะหันหน้าสู่ท้องทะเล ในมุมที่แตกต่างกันจะได้เห็นวิวที่สวยงามต่างกันออกไป มีระเบียงในทุกบังกาโล เพื่อเป็นที่พักผ่อนในเวลาที่สบายที่สุดของวัน ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่ชอบความเป็นส่วนตัว และหลงรักทะเล เราขอเชิญชวนให้มาสัมผัสบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริงที่นี่ นางยวน ไอส์แลนด์ ไดว์ รีสอร์ท ด้วยความตั้งใจของผู้รักธรรมชาติ จนกระทั่งกลายมาเป็น นางยวน ไอส์แลนด์ ไดว์ รีสอร์ท อยากให้ผู้ที่ผ่านมาได้พบเห็นความงาม ความบริสุทธิ์ เหมือนอย่างแรกเริ่ม ขอความกรุณาไม่นำ ผลิตภัณฑ์พลาสติก ขวดพลาสติก หรือกระป๋องแคน ต่างๆขึ้นมาบนเกาะ ตลอดจนกระทั่งนำปะการัง หรือ หอยชนิดต่างๆที่มีอยู่ออกไปจากเกาะ เพื่อที่พวกเราจะได้ชื่นชมกันนานๆ
ท่านสามารถเดินทางไปเกาะนางยวนด้วยความสะดวกสบาย จากเกาะสมุย กับ บริษัท ลมพระยา ไฮส์สปีด เฟอรรี โดย เรือ Catamaran High Speed Ferry ในห้องผู้โดยสารด้านล่าง และ ห้อง V.I.P. ด้านบน เย็นสบายด้วยเครื่องปรับ อากาศและมีเครื่องดื่ม ขนมต่างๆ ไว้รับรองตลอดการเดินทาง สำหรับท่านที่ชอบความรื่นรมย์ของวิวทิวทัศน์ และลมทะเลสามารถขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าได้ตามสบาย


เกาะไหง-จังหวัดตรัง


เกาะไหง เกาะไหง เป็นอีกหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวของทะเลตรัง แต่จริงๆ แล้วเกาะไหงอยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ เช่นเดียวกับเกาะรอก เกาะไหงอยู่ห่างจากเกาะลันตา จ.กระบี่ เพียง 12 กิโลเมตร ห่างท่าเรือปากเมง จ.ตรัง 15 กิโลเมตร แต่การเดินทางจากปากเมงสะดวกกว่า และอีกอย่างคือเกาะไหงอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ของทะเลตรัง ห่างจากเกาะม้าเพียง 1.5 กิโลเมตร ห่างเกาะเชือกเพียง 3 กิโลเมตร ดังนั้นเกาะไหงจึงถูกเหมารวมเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวทะเลตรัง ตัวเกาะมีความยาวประมาณ 4 กิโลเมตร อยู่ในการดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะลันตา บนเกาะมีหาดทราบขาว น้ำทะเลใสสะอาด รอบเกาะอุดมด้วยปะการังที่สมบูรณ์ การเดินทางไปเกาะไหง มีเรือโดยสาร ของแต่ละรีสอร์ทคอยให้บริการ เวลาออกจากท่าเรือปากเม็งขึ้นอยู่กับรีสอร์ทนั้นๆ โดยทั่วไปตั้งแต่ 10.30 น.-12.30 น.เป็นเรือเร็วใช้เวลาเดินทางประมาณ 15-20 นาที ราคาคนละ 450 บาท หรือถ้าเป็นเรือใหญ่จะออกเวลา 16.30 น. ราคาท่านละ 450 บาท ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 45-60 นาที นอกจากนี้มีเรือหางยาวให้เช่าราคาเหมาลำประมาณลำละ 1,200 บาทเป็นเกาะที่อยู่ในเขตจังหวัดกระบี่ แต่เดินทางจากจังหวัดตรังได้สะดวกกว่า บนเกาะมีหาดทรายขาว น้ำทะเลใสสะอาด รอบเกาะอุดมด้วยประการังที่สมบูรณ์ การเดินทางไปเกาะไหง มีเรือโดยสาร (ขนาด 120 ที่นั่ง) ออกจากปากเมงเวลา 09.00 - 10.00 น. ราคาคนละ 150 บาท ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง นอกจากนี้มีเรือของเอกชนให้เช่า เรือขนาดจุ 40 คน ราคา 5,000 บาท 100 คน ราคา 8,000 บาท นักท่องเที่ยวที่ต้องการพักแรมบนเกาะ


เกาะล้าน


เกาะล้าน หรือที่รู้จักกันในนามเกาะปะการังนั้นเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นอย่างมาก เหตุที่เรียกเกาะล้านว่าเกาะปะการังนั้นเนื่องจากใต้ทะเลของบริเวณเกาะดังกล่าวเต็มไปด้วยปะการังที่สวยงามและหลายชนิด และประกอบไปด้วยหมู่เกาะเล็ก ๆ ซึ่งรวมถึง เกาะครก และเกาะสาก เกาะล้านนั้นเป็นเกาะที่เหมาะสำหรับการดำน้ำดูปะการัง (สน็อร์กเกิล) และหาดทรายสีขาว ทะเลสีน้ำเงินเข้มไปถึงสีเขียวน้ำทะเล ที่ทำให้นึกถึงทะเลอันดามัน เกาะล้านตั้งอยู่ไม่ไกลจากพัทยาและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
เกาะล้าน อยู่ห่างชายฝั่งพัทยา 7 กิโลเมตร นั่งเรือโดยสาร 45 นาที หากเดินทางโดยเรือเร็วใช้เวลาเพียง 15 นาที มีพื้นที่ประมาณ 4 ตารางกิโลเมตร มีชายหาดที่สวยงามหลายแห่ง ส่วนใหญ่คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเล่นน้ำ ดูปะการัง เล่นกีฬาทางน้ำ เช่น เรือลากร่มชูชีพ เรือสกี สกู๊ดเตอร์ โดยเฉพาะที่หาดตาแหวน หาดทองหลาง หาดนวล และหาดเทียน ส่วนหาดแสมบรรยากาศเงียบสงบกว่าหาดอื่น บริเวณเกาะล้าน และเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่รอบ ๆ เช่น เกาะครก และเกาะสาก เป็นแหล่งตกปลาดำน้ำดูปะการัง ทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้น และเป็นสถานที่ฝึกหัดเรียนดำน้ำ
การเดินทาง มีเรือโดยสารออกจากท่าเรือพัทยาใต้ไปเกาะล้านทุกวัน เที่ยวไป ตั้งแต่เวลา 10.00 น.-18.30 น. เที่ยวกลับ มี 2 รอบ เวลา 12.00 น. และ 14.00 น. อัตราค่าเรือโดยสาร คนละ 30 บาท เรือจอดที่ท่าหน้าบ้าน หากจะเดินทางต่อไปชายหาดอื่นสามารถเช่าเรือหางยาว หรือรถรับจ้าง นอกจากนี้ยังมีบริการเรือเร็วให้เช่าอยู่ทั่วไปตามชายหาดพัทยา อัตราค่าเช่าประมาณ 3,000 บาท สามารถแวะเที่ยวได้หลายหาดแล้วแต่จะตกลงกัน

หมู่เกาะมัน-จังหวัดระยอง


เกาะมันนอก เป็นเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่งในหมู่เกาะมัน ที่ตั้งเรียงกันอยู่ในอ่าวแกลง จ.ระยองตัวเกาะมีลักษณะเกือบกลม และสามารถเดินรอบเกาะ เพื่อชมทิวทัศน์อันสวยงามได้ โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ทางด้านหน้าของตัวเกาะ ซึ่งเป็นทิศใต้และทิศตะวันออก จะมีโค้งหาดทรายเล็กๆ และเป็นที่ตั้งของบังกะโล และเรือนอาหาร ที่ เกาะมันนอกนั้น นักท่องเที่ยวสามารถดำน้ำชมความงามของปะการัง ต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ใต้น้ำรอบๆ เกาะมันนอก และเกาะมันนอก อยู่ห่างจาก เกาะเสม็ด เป็นระยะทาง ประมาณ 30 กิโลเมตร
หมู่เกาะมัน เป็นหมู่เกาะ อยู่ในเขตตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง หมู่เกาะมันมีอยู่ 3 เกาะ เกาะที่อยู่ใกล้ฝั่ง มาก ที่สุด คือ เกาะมันใน ถัดไปคือ เกาะมันกลาง และเกาะมันนอก ซึ่งมีแต่คุณหรือกับใครสักคนที่รู้ใจ ...อย่างที่ เกาะมันนอก..ที่..ที่มีแต่ธรรมชาติให้คุณสูดอากาศใสใส มาดูข้อมูลแบบลงลึกของ หมู่เกาะมัน เกาะมันนอก เกาะมันกลาง เกาะมันใน กันดีกว่าครับ

เกาะเสม็ด


ประวัติ เกาะเสม็ด เชื่อกันว่า คือ เกาะแก้วพิสดาร ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อของระยอง ที่ได้รับความนิยมทั้งจากชาวไทยและต่างประเทศ ตั้งอยู่ตำบลเพ อำเภอเมือง อยู่ห่างจากชายฝั่งบ้านเพประมาณ 6.5 กิโลเมตร มีเนื้อที่ประมาณ 3,125 ไร่ มีลักษณะเป็นเกาะรูปสามเหลี่ยม ส่วนฐานของเกาะอยู่ด้านทิศเหนือ ซึ่งหันเข้า สู่ฝั่งบ้านเพ มีภูเขาสลับซับซ้อนกันอยู่ 2-3 ลูก มีที่ราบอยู่ตามริมฝั่งชายหาด ส่วนใหญ่จะอยู่ทางด้านเหนือ และตะวันออก เหตุที่มีชื่อว่า “ เกาะเสม็ด ” เพราะเกาะนี้มีต้น เสม็ด ขาว และ เสม็ด แดงขึ้นอยู่มาก ซึ่งในอดีตชาวบ้านนำมาใช้ทำไต้จุดไฟ บน เกาะเสม็ด ไม่มีแม่น้ำลำคลอง ประมาณ 80% ของพื้นที่ เป็นภูเขาและป่าไม้เบญจพรรณ ฤดูฝนเริ่มตั้งแต่เดือน พฤษภาคม-กันยายน ช่วงเดือนพฤษภาคมมีมรสุมและคลื่นลมจัดมาก เดือนสิงหาคมมีฝนตกชุก
เกาะเสม็ด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางทะเล ที่สามารถเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ เพราะลักษณะทางภูมิประเทศที่นักท่องเที่ยว สามารถเล่นน้ำ และทำกิจกรรมต่างๆ ได้หลากหลาย นักท่องเที่ยวยังสามารถเช่าจักรยาน หรือมอเตอร์ไซค์ ขี่เล่นได้ ท่านสามารถชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามมาก
ที่พัก เกาะเสม็ด โดยทั่วไปมีหลายราคา และในแต่ละรีสอร์ทก็จะมีความโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป มีทั้ง รีสอร์ท โรงแรม และบังกะโล ให้ท่านได้เลือกมากมาย โดยทั่วไปนักท่องเที่ยวควรจะทำการจองห้องพักไว้ก่อน เพื่อความสะดวก และความแน่นอนในการได้ห้องพัก และราคาที่ถูกกว่า โดยเฉพาะช่วงเทศกาลต่างๆ

เกาะหมาก


ไกลจากชายฝั่งที่ท่าเรือแหลมงอบออกไปยังท้องทะเลสีคราม 35 กิโลเมตร มีเกาะๆ หนึ่ง ที่เป็นเจ้าของหาดทรายสวยหลายหาด ร่มรื่นไปด้วยทิวมะพร้าว แม้จะเป็นเกาะไม่ใหญ่เท่าเกาะช้าง แต่ความสวยงามไม่น้อยหน้ากันเลย ที่สำคัญสำหรับผู้ที่ปรารถนาจะมีอาณาจักรส่วนตัว เกาะหมาก คือความฝันที่เป็นจริง เกาะหมาก เป็นเกาะที่อยู่ในกิ่งอำเภอเกาะกูด มีถนนรอบเกาะ 27 กิโลเมตร ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นพื้นราบ มีหาดทรายสวยๆ หลายหาด ยังมีเกาะบริวารรายล้อม เกาะหมาก อีกหลายเกาะ เช่น เกาะขาม เกาะระยั้งนอก เกาะระยั้งใน
เกาะหมาก เป็นเกาะขนาดใหญ่ อยู่ระหว่างเกาะช้างกับเกาะกูด ห่างจากฝั่งประมาณ 38 กิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 9,000 ไร่ มีรูปร่างคล้ายดาวสี่แฉก พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบสวนมะพร้าว โดยรอบมีอ่าว ชายหาดที่สวยงาม และน้ำใสสะอาดหลายแห่ง เช่น บริเวณอ่าวตานิด อ่าวไผ่ อ่าวโปร่ง อ่าวผาด อ่าวแดง อ่าวส่วนใหญ่ บริเวณชายฝั่งรอบเกาะและเกาะใกล้เคียงพบแนวปะการังที่สมบูรณ์ และสวยงาม บนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย ช่วงฤดูท่องเที่ยวเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม-พฤษภาคมชุมชนดั้งเดิมบนเกาะหมากส่วนใหญ่เป็นเขมรเชื้อชาติไทยที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานเมื่อครั้งเมืองประจันตคีรีเขตร หรือเกาะกงเป็นของฝรั่งเศสเมื่อปี พ.ศ. 2447 โดยมีหลวงพรหมภักดี ต้นตระกูลตะเวทิกุล เป็นผู้ควบคุมคนจีนบนเกาะกง คนบนเกาะส่วนใหญ่เป็นเครือญาติกัน มีอาชีพเกษตรกรรมทำสวนยางพารา และสวนมะพร้าว จนเกาะหมากได้ชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกมะพร้าวที่สำคัญของจังหวัดตราด บนเกาะมีที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย

เกาะกูด


เกาะกูด เป็นเกาะสุดท้ายในน่านน้ำทะเลตราด เป็นเกาะที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของประเทศไทย เขตจังหวัดตราด อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และความงดงามของหาดทราย สายน้ำ ลำธาร น้ำตก และแนวปะการังใต้ท้องน้ำ มีสถานที่น่าสนใจ เช่น น้ำตกคลองเจ้า หรือน้ำตกธารสนุก เป็นน้ำตกที่ขึ้นชื่อของ เกาะกูด มีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้นบนมีลักษณะเป็นลำธาร ส่วนชั้นล่างเป็นธารจากน้ำตกขนาดใหญ่ เหมาะแก่การเล่นน้ำเป็นอย่างมาก น้ำตกแห่งนี้ถือว่าเป็นน้ำตกประวัติศาสตร์ คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เคยเสด็จประพาสเมื่อ พ.ศ. 2454 ทรงพระราชทานนามเพื่อเป็นที่ระลึกถึงองเชียงสือว่า "น้ำ
ฤดูท่องเที่ยวบนเกาะกูด
ฤดูกาลที่เหมาะแก่การท่องเที่ยว คือ ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงต้นพฤษภาคม เนื่องจากปลอดลมมรสุม
แหล่งท่องเที่ยวบนเกาะ
เกาะกูด มีหาดทรายขาวสะอาดสวยงาม เต็มไปด้วยดงมะพร้าวเรียงรายอยู่ด้านตะวันตก เช่น อ่าวคลองยายกี๋ (มีน้ำตก 1 แห่ง) อ่าวตะเภา อ่าวคลองเจ้า (มีคลองและป่าชายเลนสมบูรณ์) อ่าวง่ามโข่ อ่าวคลองหิน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าเขา เชิงเขามีสวนมะพร้าวและป่าชายเลน หาดส่วนใหญ่อยู่ทางด้านตะวันตก หาดทรายขาวละเอียด น้ำทะเลใสสะอาด มีคลองเจ้าเป็นธารน้ำสายสำคัญหล่อเลี้ยงชีวิตบนเกาะ ซึ่งมีป่าชายเลนที่สวยงามและสมบูรณ์มาก
อ่าวตะเภา เป็นที่ตั้งของ เกาะกูด คาบาน่า เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งบน เกาะกูด
อ่าวกล้วย หาดทรายขาวละเอียดมี เกาะกูด ไอร์แลนดรีสอร์ท อ่าวยายเกิดตั้งอยู่ใกล้ๆ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงาม แหล่งหญ้าทะเลที่อาศัย ของสัตว์น้ำ นานาชนิด เป็นจุดชมนกชนิดต่างๆของ เกาะกูด เช่น นกปรอดหัวจุก และนกอพยพชนิดต่างๆ
อ่าวสลัด อ่าวโค้งรูปตัวยูเป็นที่ตั้งของชุมชนบ้านเรือนชาวประมงที่ใหญ่แห่งหนึ่งของเกาะ มีสินค้าของฝากจากทะเล
อ่าวคลองเจ้า นักท่องเที่ยวสามารถไปเที่ยวน้ำตกคลองเจ้าได้ โดยนั่งเรือชมธรรมชาติสองฝั่งไปตามคลองเจ้า และต่อด้วยการเดินเท้าอีกเล็กน้อย เป็นน้ำตกที่นับว่าสวยที่สุดบนเกาะ นักท่องเที่ยวอาจจะได้ชมแสงน้อยๆ จากเหล่าหิ่งห้อยที่อยู่ตรงป่าโกงกางนี้ ยามค่ำคืน มีปีเตอร์แพนรีสอร์ท คลองจ้าวรีสอร์ทและใบกูดแซมบาล่าให้เลือกพักพิง
อ่าวง่ามโข่ มีชายหาดขาวทอดยาว เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงาม การเดินทางก็สะดวกสบาย หาดทรายแดง มีชายหาดเล็กๆ ไม่ยาวนัก พื้นทรายที่หาดนี้มีสีเข้มกว่าหาดอื่นๆ อันเป็นที่มาของหาดทรายแดง บรรยากาศร่มรื่น เป็นส่วนตัว
หาดบังเบ้า หาดทรายยาวโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว เหมาะกับการเล่นน้ำ ด้านหลังเป็นคลองบังเบ้า ที่นักท่องเที่ยวสามารถพายเรือคายัก ชมป่าชายเลนได้
อ่าวพร้าว ชายหาด เกาะกูด อ่าวพร้าว รีสอร์ทเป็นอ่าวสุดท้ายใต้สุดของเกาะ มีชายหาดยาวที่สุด เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้สวยงาม บรรยากาศร่มรื่น โรแมนติก นอกจากนี้ ยังเป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเหมือนของบิดาแห่งกองทัพเรือไทย หรือกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
จุดดำน้ำที่น่าสนใจ เกาะยักษ์ เกาะรัง และ เกาะกระ เป็นจุดดำน้ำตื้นที่สวยงาม มีปลาเล็กๆ ว่ายเวียนอยู่ตามแนวปะการัง บนเกาะรังมีหาดทรายหลายแห่ง

เกาะช้างจังหวัดตราด


เกาะช้าง จัดว่าเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเกาะภูเก็ต มีเนื้อที่ประมาณ 429 ตารางกิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นเขาสูงมีผาหินสลับซับซ้อน ยังเป็นเกาะที่มีทรัพยากรธรรมชาติ สมบูรณ์อยู่มาก เนื่องได้ประกาศให้เป็นอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะช้างมาช้านานแล้ว จึงยังคงเหลือให้เห็นภาพความงดงามของหมู่เกาะ ผืนทะเล ป่าเขา สายน้ำ ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก
มาถึงปัจจุบันนี้กระแสการท่องเที่ยวได้รุกข้ามยังหมู่เกาะมากขึ้น กลุ่มทุนใหญ่ได้รุกคืบเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อสร้างที่พักโรงแรมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย หากเดินทางไปตามรอบเกาะช้างจะเห็นการประกาศขายที่ดินกันมากมาย ดังนั้นที่ดินของชาวบ้านดั้งเดิมได้ถูกเปลี่ยนมือไปเป็นกลุ่มทุนใหญ่ที่มีกำลังเงินในลงทุนบนผืนเกาะแห่งนี้


ธรรมชาติ ณ น้ำตกห้วยแก้ว


น้ำตกห้วยแก้ว ตั้งอยู่บริเวณบ้านโป่งน้ำร้อน หมู่ที่ 7 ต.ดอยฮาง อ.เมือง จ.เชียงราย ห่างจากบ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยม 6.5 กม. เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีน้ำไหลแรงตลอดปี และห่างจากตัวเมืองเชียงราย 25 กม. ยังไม่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวมากนัก หากเข้าไปชมน้ำตกควรติดต่อเจ้าหน้าที่นำทางจากบ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยม เตรียมน้ำและอาหารไปด้วย น้ำตกห้วยแก้ว มีทั้งหมด 3 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นมีความสวยงามแตกต่างกัน มีมุมถ่ายรูปที่สวยงาม ซึ่งเป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก ชั้นที่ 1 สายน้ำไหลตกจากหน้าผาสูงและโขดหินขนาดใหญ่ประมาณ 30 เมตร
ลงมายังแอ่งน้ำเบื้องล่าง บรรยากาศร่มรื่น สามารถลงเล่นน้ำได้ น้ำตกชั้นที่ 2 ต้องเดินจากน้ำตกชั้นที่ 1 อีก 200 เมตร จะเห็นสายน้ำ
ไหลตกจากหน้าผาสูง 40 เมตร ทางเดินเป็นคันดินอัดแน่น เดินเลียบน้ำตกไปได้ทั้งสองฝั่ง มุมของชั้นที่ 2 ซึ่งยังมีอีกหลายมุมที่สวยงามและด้านล่างยังมีที่สำหรับนั่งเล่นได้อีกด้วย และบริเวณใกล้น้ำตกมีสวนชาที่กว้างใหญ่และสวยงาม มีบ้านชาวเขาเผ่าอาข่า ลีซอ และจีนฮ่ออาศัยอยู่
การเดินทาง รถยนต์ส่วนตัว ใช้เส้นทางเดียวกับบ่อน้ำร้อนห้วยหมากเลี่ยม เมื่อถึงบ้านผาเสริฐ ก่อนถึงบ่อน้ำร้อนประมาณ 1 กม.มีทางแยกซ้ายมือ เป็นทางดินอัด มีวัดผาเสริฐวนารามเป็นจุดสังเกต ไม่เหมาะสำหรับรถเก๋ง ระยะทาง 5.6 กม.จากนั้นเดินเท้าต่ออีก 1 กม. ถึงน้ำตกชั้นที่ 1 (เดินวนรอบน้ำตก - หมู่บ้านชาวเขาเผ่าอาข่า(โฮมสเตย์) - ลานจอดรถ)

ธรรมชาติ ณ น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น



น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น
ตั้งอยู่บริเวณที่ทำการอุทยานฯริมทะเลสาบเขื่อนศรีนครินทร์ ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรีประมาณ 108 กิโลเมตร น้ำตกห้วยแม่ขมิ้นมีสภาพสวยงามเป็นอย่างยิ่ง ทั่วบริเวณร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ป่านานาชนิด น้ำตกไหลมา จากต้นน้ำของเทือกเขากะลาซึ่งเป็นป่าดิบเขาแล้งทางทิศตะวันออกของอุทยานฯ และไหลลงสู่อ่างเก็บน้ำ เขื่อนศรีนครินทร์ นับเป็นน้ำตกที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง

น้ำตกห้วยแม่ขมิ้น แบ่งออกเป็น 7 ชั้น มีชื่อเรียกต่างๆกันไปแต่ละชั้น เช่น ชั้นที่ 1 ดงว่าน ชั้นที่ 2 ม่านขมิ้น ชั้นที่ 3 วังหน้าผา ชั้นที่ 4 ฉัตรแก้ว ชั้นที่ 5ไหลจนหลง ชั้นที่ 6 ดงผีเสื้อ ชั้นที่ 7 ร่มเกล้า แต่ละชั้นมีความสูงและความ งดงามต่างกันไป ทางอุทยานฯได้ทำเส้นทางเดินสำหรับขึ้นไปชมน้ำตกแต่ละชั้นและยังเป็นเส้นทางเดินศึกษา ธรรมชาติ ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวอยู่ในช่วงเดือนตุลาคม–เมษายน


ธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อย


อุทยานแห่งชาติน้ำตกเจ็ดสาวน้อยมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสลับซับซ้อนสลับกับที่ราบ ลักษณะพื้นที่ค่อนข้างแห้งแล้งมีหน้าดินตื้น มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางอยู่ในช่วง 180-402 เมตร จุดสูงสุดของพื้นที่อยู่บริเวณโชคชัยพัฒนา มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 402 เมตร รองลงมาคือเทือกเขาที่อยู่ตอนกลางของพื้นที่ และเทือกเขาบริเวณบ้านดงน้ำฉ่า มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 386 และ 359 เมตร ตามลำดับ บริเวณเชิงเขาด้านทิศตะวันออกและทิศเหนือของพื้นที่ติดคลองมวกเหล็กซึ่งมีน้ำไหลผ่านตลอดปี และไหลลงสู่แม่น้ำป่าสักที่อำเภอวังม่วง ส่วนบริเวณตอนกลางของพื้นที่มีลำห้วยเล็กๆ ไหลผ่าน ได้แก่ ห้วยแล้ง ซึ่งเป็นลำห้วยที่มีน้ำไหลเฉพาะในช่วงฤดูฝนเท่านั้น
ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศของอุทยานแห่งชาติได้รวบรวมข้อมูลจากการเก็บข้อมูลปริมาณน้ำฝนของสถานีตรวจวัดอากาศมวกเหล็ก ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่ประมาณ 10 กิโลเมตร และจากสถานีตรวจอากาศเกษตรปากช่อง ซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่ประมาณ 26 กิโลเมตร ปรากฏว่า พื้นที่อุทยานแห่งชาติซึ่งอยู่บริเวณภาคกลางของประเทศไทย อยู่ภายใต้อิทธิพลของลมมรสุม ซึ่งมีระบบการพัดเวียนประจำเป็นฤดูกาล ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตุลาคมได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ พัดพาเอาความชื้นจากทะเลและมหาสมุทรเข้ามา ทำให้เกิดฤดูฝน ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ ได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ พัดพาเอาความหนาวเย็นมาจากตอนเหนือของทวีปเอเชีย ทำให้เกิดฤดูหนาว ส่วนฤดูร้อนจะอยู่ในช่วงเดือนกลางเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยตลอดปีได้ 1,191 มิลลิเมตร อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีเท่ากับ 26 oC

ธรรมชาติ ณ น้ำตกนางครวญ



น้ำตกนางครวญ

ชื่อน้ำตกนางครวญ
เป็นชื่อที่ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าชื่อน้ำตกนางครวญนี้ มาจากการที่มีนักศึกษาหญิงชายคู่หนึ่งมาเที่ยวที่น้ำตกนางครวญชั้นที่ 3 และผู้ชายได้ลงไปเล่นน้ำและเป็นตะคริวทำให้เสียชีวิต ฝ่ายผู้หญิงก็ได้แต่ร้ำไห้คร่ำครวญ ชาวบ้านแถวนั้นจึงเรียกน้ำตกนางครวญ
ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติลำคลองงู ห่างจากลานกางเต๊นท์ ประมาณ 700 เมตร จะถึงตัวน้ำตกชั้นที่ 1 มีต้นกำเนิดจากห้วย 2 สาย คือ ห้วยทองผาภูมิ ไหลมาจากเขาแปดร้อย และห้วยชะอี้ รวมเป็นห้วยใหญ่ ไหลลงสู่หุบเขาเกิดเป็นน้ำตกที่สวยงาม
ไม่เก็บค่าธรรมเนียมในการเข้าไปเที่ยวชม
สิ่งอำนวยความสะดวก ภายในอุทยานมีลานกางเต๊นท์กว้างขวาง และมีบ้านพักของอุทยาน 2 หลัง ในราคา หลังละ 800 บาท และ 1,000 บาท มีห้องน้ำสะอาดและลานจอดรถรองรับนักท่องเที่ยว ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง แต่ทางอุทยานจะปั่นไฟให้ใช้ได้ประมาณ 2-3 ชม. โทรศัพท์ใช้ได้เป็นบางจุด บริเวณอุทยานยังไม่มีร้านค้า ต้องนำอาหารมาเอง มีเจ้าหน้าที่ทางอุทยานฯ ให้บริการตลอดเวลา

ธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง



อุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง มีพื้นที่ครอบคลุมอยู่ในท้องที่ อำเภอฉวาง อำเภอนาบอน และอำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีสภาพป่าที่สมบูรณ์ ประกอบด้วยทิวทัศน์และน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง เช่น น้ำตกโยง น้ำตกหนานปลิว เหมาะแก่การท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ศึกษาหาความรู้ ทั้งเป็นต้นน้ำลำธารที่สำคัญ อุทยานแห่งชาติน้ำตกโยงมีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 202.68 ตารางกิโลเมตร หรือ 126,675 ไร่
อุทยานแห่งชาติน้ำตกโยง เป็นอุทยานแห่งชาติที่สำคัญเนื่องจากมีพื้นที่ซึ่งเป็นเทือกเขาสูงทอดยาว มียอดสูงสลับซับซ้อนทำให้เกิดทิวทัศน์ที่สวยงาม และเป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง ประกอบกับมีสภาพป่าดงดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีความสำคัญต่อวงจรชีวิตของพืช และสัตว์ป่า และสภาพแวดล้อมข้างเคียงด้วย
พ.ศ. 2528 กรมป่าไม้ได้รับหนังสือจาก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ได้ไปตรวจเยี่ยมราษฎร และได้รับการร้องขอให้ดำเนินการปรับปรุง ป้องกันบริเวณน้ำตกปลิว 1,2 ตำบลนาหลวงเสน อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีสภาพป่าค่อนข้างสมบูรณ์ และมีน้ำตกที่สวยงามหลายแห่ง ราษฎรในพื้นที่ให้การสนับสนุนและประสงค์จะให้มีการอนุรักษ์พื้นที่ดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ
พ.ศ. 2529 นายสัมพันธ์ ทองสมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีหนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอให้ประกาศพื้นที่ป่าเขาพระสุเมรุ (เขาเหมน) เป็นอุทยานแห่งชาติโดยเร่งด่วน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงได้ให้กรมป่าไม้ดำเนินการตรวจสอบบริเวณพื้นที่ป่าดังกล่าวปรากฏว่ามีสภาพป่าสมบูรณ์มาก เห็นควรอนุรักษ์ได้เป็นอุทยานแห่งชาติ
กรมป่าไม้โดยกองอุทยานแห่งชาติ (ส่วนอุทยานแห่งชาติ) จึงได้นำเรื่องเสนอเข้าที่ประชุม คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ได้มีมติในที่ประชุมครั้งที่ 1/2532 ลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2532 เห็นชอบในหลักการให้จัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าเขาเหมน ป่าเขาหลวง ป่าปลายคลองวังหีบ ป่าน้ำตกโยง และป่าคลองปากแพรก ในท้องที่ตำบลช้างกลาง อำเภอฉวาง ตำบลเขาแก้ว ตำบลลานสกา อำเภอลานสกา ตำบลนาบอน อำเภอนาบอน ตำบลนาหลวงเสน ตำบลถ้ำใหญ่ อำเภอทุ่งสง และตำบลหินตก ตำบลร่อนพิบูลย์ อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2534 โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 108 ตอนที่ 127 ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2534 จัดเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 64 ของประเทศไทย

ธรรมชาติ ณ น้ำตกป่าละอู


นอกจากหาดทรายและทะเลแล้ว หัวหินยังมีผืนป่าบนเทือกเขาตะนาวศรีด้านตะวันตก ติดชายแดนประเทศพม่าให้เที่ยวชมอีกด้วย ผืนป่าแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติที่มีอาณาเขตมากที่สุดในประเทศไทย คือ 273,125 ไร่อุดมไปด้วยป่าไม้เขียว ชอุ่ม และสัตว์ป่านานาชนิด ครอบคลุมพื้นที่ในเขต จ.เพชรบุรี และ จ.ประจวบคีรีขันธ์
น้ำตกป่าละอูเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่สวยงาม อยู่ในเขตป่าละอู อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ต.ห้วยสัตว์ใหญ่ อ.หัวหิน ห่างจากตัวเมืองหัวหิน 65 กิโลเมตร แม้ระยะทางจะค่อนข้างไกล แต่น้ำตกป่าละอูก็ยังได้รับการมาเยี่ยมเยียนจากนักท่องเที่ยวไม่เคยขาดสาย เพราะมีการสร้างถนนลาดยางอย่างดีเข้าถึงตัวน้ำตก และน้ำตกก็ยังมีความสวยงามมาก นักท่องเที่ยวสามารถที่จะเดินทางมาเที่ยวชมได้โดยที่ไม่ต้องเดินป่าไกล ๆ เพียงแค่จอดรถก็เข้าถึงน้ำตกชั้นที่ 1 แล้ว จากทั้งหมด 15 ชั้นด้วยกัน
น้ำตกแห่งนี้ยังเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวธรรมชาติเพราะเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด ทั้งเป็นแหล่งดูนกดูผีเสื้อที่ดีแห่งหนึ่งของประเทศ คำว่าละอู เป็นภาษากะเหรี่ยง แปลว่าไผ่ ป่าละอูก็คือป่าไผ่นั่นเอง แต่บางคนเห็นว่าป่าแห่งนี้เต็มไปด้วยหญ้าเลาที่ออกดอกสีเทาหม่น จึงเรียกบริเวณนี้ในอีกชื่อหนึ่งว่าห้วยป่าเลา
จากตัวเมืองหัวหินสามารถใช้ทางหลวงหมายเลข 3219 (ระหว่างทางจะผ่าน จีเฮ้าส์ของเรา) ผ่านสี่แยกหนองพลับ แยกบ้านห้วยผึ้ง ไปจนถึงชุมชนบ้านฟ้าประทาน พบสามแยก ให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นทางผ่านอ่างเก็บน้ำป่าละอู ถึงด่านเก็บค่าธรรมเนียม จากด่านฯวิ่งไปตามถนนลาดยางประมาณ 2 กิโลเมตร และถนนลูกรังอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ถึงลานจอดรถใกล้น้ำตก
น้ำตกป่าละอูตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม บรรยากาศเงียบสงบ มีน้ำตลอดทั้งปี มีจุดที่สามารถลงเล่นน้ำได้อย่างปลอดภัย เนื่องจากบริเวณน้ำตกปกคลุมด้วยป่าทึบ จึงมีฝนตกเกือบทุกวัน ช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวมากที่สุดคือระหว่างเดือน สิงหาคม ถึง มีนาคม เพราะจะมีน้ำมาก และฝนเริ่มทิ้งช่วง การเดินทางไม่ลำบากมาก ในฤดูหนาวอุณหภูมิเคยลดต่ำสุดถึง 6 องศาเซลเซียส
น้ำตกชั้นแรก ๆ เป็นน้ำตกขนาดเล็ก จากชั้นที่ 5 เป็นต้นไปมีขนาดสูงใหญ่ขึ้น นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะชมความงามของน้ำตกถึงบริเวณชั้น 7 เท่านั้น เนื่องจากน้ำตกแต่ละชั้นสูงชัน ต้องปีนป่ายพอควร จากชั้นที่ 7 เป็นทางสามแพร่ง หากไปทางขวาจะไปน้ำตกคลองปราณ ใช้เวลาเดินประมาณ 1 วันจึงจะถึง หากไปทางซ้ายจะเข้าเขตป่าละอูซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของชาวกะเหรี่ยง กะหร่าง จากน้ำตกชั้นที่ 15 ไปอีกไม่ไกลจะถึงเขตพรมแดนไทย-พม่า
ในป่าละอูอาจเห็นผีเสื้อเป็นฝูงนับร้อยตัวอยู่ตามโป่ง โดยเฉพาะตามลำธารหรือน้ำตก เพราะอุดมไปด้วยธาตุอาหารที่ผีเสื้อต้องการ จุดดูผีเสื้อที่สำคัญ ได้แก่ สะพานข้ามห้วยชลนาฎ เป็นสะพานคอนกรีตอยู่ระหว่างทางไปน้ำตกป่าละอู และที่วังสมพง บริเวณชั้นที่ 1 ของน้ำตกป่าละอู รวมถึงบริเวณฝาย 1 ซึ่งอยู่ใกล้ห้วยไม่ไกลจากบ้านพักเจ้าหน้าที่ บริเวณเหล่านี้มีผีเสื้อหลายชนิดที่พบเห็นได้ง่าย เช่น ผีเสื้อจรกา ผีเสื้อสีอิฐธรรมดา ผีเสื้อหางแหลม หรือผีเสื้อที่หายาก เช่น ผีเสื้อเจ้าชายดำ ผีเสื้อลายซิกแซ็ก เป็นต้น นอกจากนี้บริเวณที่กางเต็นท์ของอุทยานฯ ก็สามารถดูผีเสื้อได้เช่นกัน เพราะเป็นบริเวณที่มีลำธารซึ่งไหลมาจากน้ำตก
ผีเสื้อในป่านี้มีให้เห็นตลอดปี แต่ช่วงที่มีมากที่สุดคือ เดือน เมษายน ถึง กรกฎาคม เวลาที่เหมาะแก่การดูผีเสื้อคือช่วงเช้า เพราะผีเสื้อจะมาเกาะตามใบไม้เพื่อผึ่งแดดให้ร่างกายและปีกอบอุ่นแข็งแรงก่อนที่จะออกหาอาหาร
ด้วยสภาพธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ ทำให้น้ำตกป่าละอูเป็นแหล่งสัตว์ป่าหายากจำนวนมาก เช่น ช้างป่า กระทิง เสือดาว เลียงผา เป็นต้น สัตว์ที่พบเห็นได้ง่ายคือชะนีและค่าง นอกจากนี้นักท่องเที่ยวที่ชอบดูนก ยังสามารถดูนกระหว่างทางไปป่าละอูและบริเวณน้ำตก นกที่พบเห็นได้ เช่น นกขุนแผนหัวแดง นกบั้งรอก นกหัวขวานใหญ่สีเทา นกคัดคูหางแพน เป็นต้น

ธรรมชาติ ณ น้ำตกเอราวัณ


น้ำตกเอราวัณ เป็นลักษณะน้ำตกที่มีระยะทางยาวประมาณ 1,500 เมตร ติดต่อกันซึ่งแบ่งออกเป็นชั้น ๆ ได้ 7 ชั้นด้วยกัน แต่ละ ชั้นมีความสวยงามร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ทั้งเถาวัลย์พันเกี่ยว ทอดตัวไปบนต้นไม้ใหญ่ กล้วยไม้ป่าหลายชนิดบนคาคบไม้ สายธาร น้ำที่ไหลตกลดหลั้นลงมาบนโขดหินสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง เสี่ยงสาดซ่า คลอเคล้าด้วยส่งเสียงเรียกของนกป่า ทำให้สภาพความเป็นธรรมชาติ สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นับเป็นบรรยากาศที่เรียกเอาความมีคุณค่าของป่า เขาลำเนาไพรซึบซับเข้าสู่อารมณ์ผู้ใฝ่หาความสันโดษ และรักธรรม ชาติโดยแท้จริง ในชั้นที่ 7 อันเป็นชึ้นบนสุดของน้ำตก เมื่อมีน้ำตก ไหลบ่าจะมีรูปคล้ายหัวช้างเอราวัณ จนคนทั่วไปรู้จักและขนานนามว่า “ น้ำตกเอราวัณ ” น้ำตกผาลั่น เป็นน้ำตกชั้นเดียวจะมีน้ำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น ถ้ำพระธาตุ เป็นถ้ำมืดที่สวยงาม มีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 790 เมตร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน แห่งชาติประมาณ 12 กิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ มีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันอยู่ สูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 165 - 996 เมตร สลับกับพื้นที่ราบโดย ภูเขาส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูน (Lime Stone) ในแถบตะวัน ออกของพื้นที่จะยกตัวสูงขึ้นเป็นแนว โดยเฉพาะบริเวณใกล้น้ำ ตกเอราวัณจะมีลักษณะเป็นหน้าผา ในพื้นที่ซีกตะวันออกนี้จะมี ลำห้วยที่สำคัญคือ ห้วยม่องไล่ และห้วยอมตะลา ซึ่งไหลมาบรร จบกันกลายมาเป็น น้ำตกเอราวัณ ทางตอนเหนือของพื้นที่จะพบ ห้วยสะแดะและห้วยหนองมน โดยห้วยสะแดะจะระบายน้ำลงสู่ เขื่อนศรีนครินทร์ ส่วนห้วยหนองมนจะไหลไปรวมกับห้วยไทร โยค ก่อให้เกิดน้ำตกไทรโยคส่วนทางทิศใต้เป็นต้นกำเนิดของลำ ห้วยหลายสาย เช่น ลำห้วยเขาพัง เป็นต้น ก่อให้เกิดน้ำตกที่สวย งาม ซึ่งเรียกว่า น้ำตกเขาพัง หรือน้ำตกไทรโยคน้อย ลักษณะภูมิอากาศ สภาพภูมิอากาศของ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ แบ่งออกเป็น 3 ฤดู คือ 1. ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 2. ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม 3. ฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน แต่ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตก เฉียงใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือช่วยพัดพาให้เกิดฝน แต่เนื่องจาก พื้นที่อยู่ในเขตเงาฝน จึงมีปริมาณฝนตกไม่มากนัก และอากาศค่อน ข้างร้อน จากลักษณะอากาศดังกล่าว จึงไม่เป็นปัญหาต่อการเที่ยวชม อุทยานแห่งชาติเอราวัณ สามารถไปเที่ยวได้ทุกฤดู พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า สภาพป่าmuj น้ำตกเอราวัณ ส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ที่ สำคัญ ได้แก่ มะค่าโมงตะเคียนทอง ประดู่ กว้าว มะกอก ตะแบก ฯลฯ นอกนั้นเป็นป่าเต็งรัง มีพันธุ์ไม้ คือ เต็ง รัง เหียง พลวงพยอม มะค่า แต้ เป็นต้น สัตว์ป่าประกอบด้วยสัตว์นานาชนิด ได้แก่ นกแว่น นกกระแต แต้เว๊ด ไก่ฟ้าพญาลอ นกกระปูด นกกางเขนดง นกสาริกา นกขุนทอง ชะนี กวาง อีเก้ง ไก่ป่า หมูป่า กระต่ายป่า กระรอกบิน เสือ เป็นต้น เป็นลักษณะน้ำตกที่มีระยะทางยาวประมาณ 1,500 เมตร ติดต่อกันซึ่งแบ่งออกเป็นชั้น ๆ ได้ 7 ชั้นด้วยกัน แต่ละ ชั้นมีความสวยงามร่มรื่นไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ทั้งเถาวัลย์พันเกี่ยว ทอดตัวไปบนต้นไม้ใหญ่ กล้วยไม้ป่าหลายชนิดบนคาคบไม้ สายธาร น้ำที่ไหลตกลดหลั้นลงมาบนโขดหินสู่แอ่งน้ำเบื้องล่าง เสี่ยงสาดซ่า คลอเคล้าด้วยส่งเสียงเรียกของนกป่า ทำให้สภาพความเป็นธรรมชาติ สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นับเป็นบรรยากาศที่เรียกเอาความมีคุณค่าของป่า เขาลำเนาไพรซึบซับเข้าสู่อารมณ์ผู้ใฝ่หาความสันโดษ และรักธรรม ชาติโดยแท้จริง ในชั้นที่ 7 อันเป็นชึ้นบนสุดของน้ำตก เมื่อมีน้ำตก ไหลบ่าจะมีรูปคล้ายหัวช้างเอราวัณ จนคนทั่วไปรู้จักและขนานนามว่า “ น้ำตกเอราวัณ ” น้ำตกผาลั่น เป็นน้ำตกชั้นเดียวจะมีน้ำเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น ถ้ำพระธาตุ เป็นถ้ำมืดที่สวยงาม มีหินงอกหินย้อยสวยงามมาก อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 790 เมตร อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยาน แห่งชาติประมาณ 12 กิโลเมตร ลักษณะภูมิประเทศ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ มีลักษณะพื้นที่เป็นภูเขาสูงชันอยู่ สูงจากระดับน้ำทะเล ตั้งแต่ 165 - 996 เมตร สลับกับพื้นที่ราบโดย ภูเขาส่วนใหญ่เป็นเทือกเขาหินปูน (Lime Stone) ในแถบตะวัน ออกของพื้นที่จะยกตัวสูงขึ้นเป็นแนว โดยเฉพาะบริเวณใกล้น้ำ ตกเอราวัณจะมีลักษณะเป็นหน้าผา ในพื้นที่ซีกตะวันออกนี้จะมี ลำห้วยที่สำคัญคือ ห้วยม่องไล่ และห้วยอมตะลา ซึ่งไหลมาบรร จบกันกลายมาเป็น น้ำตกเอราวัณ ทางตอนเหนือของพื้นที่จะพบ ห้วยสะแดะและห้วยหนองมน โดยห้วยสะแดะจะระบายน้ำลงสู่ เขื่อนศรีนครินทร์ ส่วนห้วยหนองมนจะไหลไปรวมกับห้วยไทร โยค ก่อให้เกิดน้ำตกไทรโยคส่วนทางทิศใต้เป็นต้นกำเนิดของลำ ห้วยหลายสาย เช่น ลำห้วยเขาพัง เป็นต้น ก่อให้เกิดน้ำตกที่สวย งาม ซึ่งเรียกว่า น้ำตกเขาพัง หรือน้ำตกไทรโยคน้อย ลักษณะภูมิอากาศ สภาพภูมิอากาศของ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ แบ่งออกเป็น 3 ฤดู คือ 1. ฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม 2. ฤดูหนาว ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม 3. ฤดูร้อน ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน แต่ อุทยานแห่งชาติเอราวัณ ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตก เฉียงใต้ และตะวันออกเฉียงเหนือช่วยพัดพาให้เกิดฝน แต่เนื่องจาก พื้นที่อยู่ในเขตเงาฝน จึงมีปริมาณฝนตกไม่มากนัก และอากาศค่อน ข้างร้อน จากลักษณะอากาศดังกล่าว จึงไม่เป็นปัญหาต่อการเที่ยวชม อุทยานแห่งชาติเอราวัณ สามารถไปเที่ยวได้ทุกฤดู พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า สภาพป่าmuj น้ำตกเอราวัณ ส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณ ประกอบด้วยพันธุ์ไม้ที่ สำคัญ ได้แก่ มะค่าโมงตะเคียนทอง ประดู่ กว้าว มะกอก ตะแบก ฯลฯ นอกนั้นเป็นป่าเต็งรัง มีพันธุ์ไม้ คือ เต็ง รัง เหียง พลวงพยอม มะค่า แต้ เป็นต้น สัตว์ป่าประกอบด้วยสัตว์นานาชนิด ได้แก่ นกแว่น นกกระแต แต้เว๊ด ไก่ฟ้าพญาลอ นกกระปูด นกกางเขนดง นกสาริกา นกขุนทอง ชะนี กวาง อีเก้ง ไก่ป่า หมูป่า กระต่ายป่า กระรอกบิน เสือ เป็นต้น

ธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว



อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว มีพื้นที่ครอบคลุมท้องที่อำเภอเมือง อำเภอแหลมสิงห์ อำเภอขลุง และอำเภอมะขาม จังหวัดจันทบุรี ประกอบด้วยป่าที่สมบูรณ์ เทือกเขาสูงสลับซับซ้อนเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย และมีเอกลักษณ์ทางธรรมชาติ คือ น้ำตกพลิ้วที่สวยงาม มีน้ำตกตลอดปี เป็นที่รู้จักของประชาชนทั่วไป ซึ่งอยู่ห่างจากจังหวัดจันทบุรีประมาณ 14 กิโลเมตร ถนนลาดยางตลอดสายทำให้สะดวกสบายในการไปเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ มีเนื้อที่ประมาณ 134.50 ตารางกิโลเมตร หรือ 84,062.50 ไร่ ความเป็นมา : ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 ให้กำหนดป่าเขาสระบาป จังหวัดจันทบุรี และป่าอื่นๆ ในท้องที่จังหวัดต่างๆ รวม 14 ป่า เป็นอุทยานแห่งชาติ ในขั้นแรกกรมป่าไม้ได้กำหนดพื้นที่ที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว-เขาสระบาป ให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติในปี พ.ศ. 2505 ออกตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและสงวนป่า พุทธศักราช 2481 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2504 และในปี พ.ศ. 2515 ได้ดำเนินการพัฒนาและปรับปรุงบริเวณน้ำตกพลิ้ว จัดตั้งเป็นวนอุทยานน้ำตกพลิ้ว อยู่ในความควบคุมดูแลของสำนักงานป่าไม้จังหวัดจันทบุรี ในคราวประชุมคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2517 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2517 ได้มีมติให้รีบดำเนินการประกาศพื้นที่ป่าที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 เป็นอุทยานแห่งชาติโดยเร็ว และจังหวัดจันทบุรีได้มีหนังสือด่วนมาก ที่ จบ.09/1401 ลงวันที่ 31 มกราคม 2517 ขอให้กรมป่าไม้ส่งเจ้าหน้าที่ไปประจำวนอุทยานน้ำตกพลิ้ว เพื่อปรับปรุงให้เป็นไปตามหลักการจัดการวนอุทยาน ประกอบกับในปี 2517 กองอุทยานแห่งชาติมีแผนงานจัดบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ ดังนั้นในเดือนมีนาคม 2517 กรมป่าไม้จึงมีคำสั่งที่ 360/2517 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2517 ให้นายสินไชย บูรณะเรข นักวิชาการป่าไม้ตรี และนายประชุม ตัณยะบุตร พนักงานโครงการชั้น 2 ไปทำการสำรวจหาข้อมูลบริเวณป่าน้ำตกพลิ้ว เขาสระบาป ในท้องที่จังหวัดจันทบุรี ปรากฏว่า บริเวณดังกล่าวประกอบด้วยเทือกเขาสลับซับซ้อน เป็นต้นน้ำลำธาร เช่น น้ำตก หน้าผา ถ้ำ ตามหนังสือรายงานผลการสำรวจ ที่ กส 0708(อส)/7 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2517 กรมป่าไม้ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ซึ่งมีมติในคราวประชุมครั้งที่ 6/2517 เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2517 เห็นชอบให้กำหนดที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณที่ดินป่าน้ำตกพลิ้ว-เขาสระบาป ในท้องที่ตำบลพลับพลา ตำบลคลองนารายณ์ ตำบลคมบาง อำเภอเมืองจันทบุรี ตำบลพลิ้ว อำเภอแหลมสิงห์ ตำบลมะขาม อำเภอมะขาม และตำบลมาบไพ ตำบลวังสรรพรส ตำบลตรอกนอง ตำบลซึ้ง ตำบลตะปอน ตำบลเกวียนหัก อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 92 ตอนที่ 87 ลงวันที่ 2 พฤษภาคม 2518 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 11 ของประเทศไทย โดยใช้ชื่อว่า " อุทยานแห่งชาติเขาสระบาป " ต่อมานายผจญ ธนมิตรามณี หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาสระบาป ได้มีหนังสือ ที่ กษ 0708 (สบ)/พิเศษ ลงวันที่ 1 มีนาคม 2525 ขอเปลี่ยนชื่ออุทยานแห่งชาติเขาสระบาปเป็นอุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว เนื่องจากน้ำตกพลิ้วเป็นน้ำตกที่มีความสวยงามตามธรรมชาติเป็นจุดเด่นของอุทยานแห่งชาติ เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวและประชาชนโดยทั่วไปเป็นเวลานานแล้ว ซึ่งคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 3/2525 เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2525 เห็นชอบให้เปลี่ยนชื่อเป็น " อุทยานแห่งชาติน้ำตกพลิ้ว "
ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพทั่วไปเป็นเทือกเขาสูง มียอดเขาสลับซับซ้อนสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางตั้งแต่ 20-924 เมตร ค่อยๆ ลาดลงทางทิศใต้ มีที่ราบแคบๆ ทั่วไปบริเวณไหล่เขา พื้นที่มีความลาดชันสูง จุดสูงสุดของพื้นที่อยู่ที่ยอดเขามาบหว้ากรอก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 924 เมตร ลักษณะทางธรณีวิทยาส่วนใหญ่เป็นหินอัคนีประเภทหินแกรนิต ในบริเวณตอนกลางของพื้นที่ที่มีลักษณะเป็นเทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อนที่ประกอบไปด้วยป่าดงดิบที่สมบูรณ์ ทำให้บริเวณนี้กลายเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายสาย เช่น ห้วยตาโบ คลองโป่งแรด คลองนารายณ์ คลองสระบาป คลองคมบาง คลองนาป่า คลองพลิ้ว คลองน้ำแห้ง คลองหนองเสม็ด คลองตะปอนน้อย คลองตะปอนใหญ่ คลองขลุง คลองเคล คลองตรอกนอง และคลองมะกอก กระจายอยู่รอบพื้นที่
ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพอากาศระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน อากาศจะค่อนข้างร้อน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-ตุลาคม จะมีฝนตกชุกปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยปีละ 3,000 มม./ปี และระหว่างเดือนพฤศจิกายน- กุมภาพันธ์ อากาศจะเย็นสบายที่สุด อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 26 องศาเซลเซียส

ธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว


อุทยานแห่งชาติน้ำหนาวอยู่ในท้องที่อำเภอหล่มเก่า อำเภอหล่มสัก อำเภอน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ และอำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ เป็นอุทยานแห่งชาติที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นแนวเขตกั้นระหว่างภาคอีสานและภาคเหนือ สภาพพื้นที่ทั่วไปเป็นเทือกเขาสูง มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ เป็นต้นน้ำลำธาร มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง มีเนื้อที่ประมาณ 603,750 ไร่ หรือ 966 ตารางกิโลเมตรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2502 ให้กำหนดป่าน้ำหนาว จังหวัดเพชรบูรณ์ และป่าอื่นๆ ในท้องที่จังหวัดต่างๆ รวม 14 ป่า เป็นอุทยานแห่งชาติ ในปี พ.ศ. 2511 กรมป่าไม้ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปทำการสำรวจเบื้องต้นเกี่ยวกับสภาพพื้นที่ บริเวณป่าน้ำหนาว ปรากฏว่า มีสภาพป่าอุดมสมบูรณ์ มีทิวทัศน์ธรรมชาติที่สวยงามหลายแห่ง ตลอดจนเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด กรมป่าไม้จึงได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติซึ่งได้มีมติในคราวประชุม ครั้งที่ 1/2513 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2513 เห็นชอบให้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติ โดยได้มีประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 142 เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2515 กำหนดบริเวณป่าน้ำหนาวในท้องที่ตำบลบ้านโคก อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ตำบลบ้านกลาง ตำบลบ้านติ้ว ตำบลห้วยไร่ อำเภอหล่มสัก ตำบลน้ำหนาว อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ และตำบลห้วยยาง อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ เป็น อุทยานแห่งชาติ เนื้อที่ประมาณ 603,750 ไร่ โดยประกสศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 89 ตอนที่ 71 ลงวันที่ 4 พฤษภาคม 2515 เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งที่ 5 ของประเทศต่อมากองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ ได้มีหนังสือที่ กส 0708/2214 ลงวันที่ 1 เมษายน 2523 ให้หัวหน้าอุทยานแห่งชาติทุกแห่งได้ตรวจสอบพิจารณาชื่อตำบลที่ตกหล่นใน อุทยานแห่งชาติที่รับผิดชอบ ซึ่งอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวได้มีหนังสือที่ กส 0708(นน)/223 ลงวันที่ 11 มีนาคม 2525 รายงานว่า ตามประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 142 ลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2515 ได้กำหนดแนวเขตอุทยานแห่งชาติ ซึ่งครอบคลุมถึงท้องที่ตำบลปากช่อง และตำบลท่าอิบุญ อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ด้วย แต่มิได้ระบุชื่อตำบลทั้ง 2 ไว้ กรมป่าไม้จึงได้เสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 3/2523 เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2523 เห็นชอบให้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดขยายเขตอุทยานแห่งชาติเพิ่มเติมตำบลที่ตก หล่นได้ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกาขยายเขตอุทยานแห่งชาติน้ำหนาวในท้องที่ตำบลท่าอิบุญ และตำบลปากช่อง อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พ.ศ. 2525 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 99 ตอนที่ 137 ลงวันที่ 26 กันยายน 2525

ธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติตาดหมอก


อุทยาน แห่งชาติตาดหมอก จังหวัดเพชรบูรณ์ เนื่องจากบริเวณที่ดินป่าตะเบาะ และป่าห้วยใหญ่ ในท้องที่ตำบลห้วยใหญ่ ตำบลบ้านโคก และตำบลนาป่า อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ประกอบด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า เช่น พันธุ์ไม้ ของป่า สัตว์ป่านานาชนิด ตลอดจนทิวทัศน์ ป่า ภูเขา และน้ำตกที่สวยงามยิ่ง สมควรกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 เพื่อสงวนไว้ให้คงอยู่ในสภาพธรรมชาติเดิมมิให้ถูกทำลายหรือเปลี่ยนแปลงไป เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาและรื่นรมย์ของประชาชน และเพื่ออำนวยประโยชน์อื่นแก่รัฐและประชาชน มีเนื้อที่ประมาณ 181,250 ไร่ หรือ 290 ตารางกิโลเมตรเมื่อปี พ.ศ. 2532 จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้พบน้ำตกสวยงามเหมาะสมที่จะปรับปรุงเป็นแหล่งท่องเที่ยว จึงได้ขอให้กรมป่าไม้ทำการสำรวจพื้นที่ส่วนหนึ่งของป่าสงวนแห่งชาติป่าตะ เบาะและป่าห้วยใหญ่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ และกรมป่าไม้ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าดำเนินการเมื่อกลางปี งบประมาณ 2534 กรมป่าไม้ได้มีหนังสือ ที่ กษ 0712.3/244 ลงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2539 ตามมติที่ประชุม คณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2537 เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2537 การจัดตั้งอุทยานแห่งชาติตาดหมอก จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้เห็นชอบให้กรมป่าไม้ดำเนินการตราพระราชกำหนดบริเวณที่ดินป่าตะเบาะและป่า ห้วยใหญ่ ในท้องที่ตำบลห้วยใหญ่ ตำบลบ้านโคก และตำบลนาป่า อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบูรณ์ ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ นำเสนอร่างพระราชกำหนดให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อมาส่วนอุทยานแห่งชาติได้มี หนังสือ ที่ กษ 0712.3/1275 ลงวันที่ 14 สิงหาคม 2539 ให้ส่งข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการพิจารณาร่างพระราชกำหนดให้เป็นอุทยาน แห่งชาติ ได้พิจารณาตามคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อ 22 ธันวาคม 2535 ว่าพื้นที่ทีจะกำหนดให้เป็นอุทยานแห่งชาติมีราษฎรอาศัยหรือทำกินหรือไม่ และได้รับรายงานจากอุทยานแห่งชาติตาดหมอก ตามหนังสือ ที่ กษ 0712.425/65 ลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2539 ว่า พื้นที่ที่จะกำหนดเป็นอุทยานแห่งชาติ ไม่มีราษฎรบุกรุกครอบครองแต่อย่างใด เนื่องจากหน่วยราชการต่าง ๆ และราษฎรในท้องที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ได้ร่วมมือกันเป็นอย่างดีเพื่อรักษาพื้นที่ป่าอนุรักษ์นี้ เพื่อจะได้เสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี

อุทยานแห่งชาติตาดหมอก ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชกฤษฎีกา ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับกฤษฎีกา เล่ม 115 ตอนที่ 78 ก หน้า 11 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2541 จัดเป็น อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 87 ของประเทศไทย

อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มีพื้นที่ครอบคลุมรอยต่อสองจังหวัด คือ อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และอำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ภูหินร่องกล้าเป็นแหล่งกำเนิดของประวัติศาสตร์การ สู้รบอันยาวนานเป็นวีรกรรมของนักรบไทย ความขัดแย้งของลัทธิและแนวความคิดที่นำไปสู่ความสูญเสียเลือด ชีวิตและน้ำตา ภาพประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ ตลอดจนสภาพสิ่งก่อสร้างในอดีตจะถูกบันทึกเก็บรักษาไว้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาถึงผลของการใช้กำลังเข้าประหัตประหาร ทำให้เกิดความสูญเสียที่ประเมินค่ามิได้ อันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมืองความแตกแยก ความสามัคคีของคนในชาติ มีเนื้อที่ประมาณ 191,875 ไร่ หรือ 307 ตารางกิโลเมตรในปี พ.ศ. 2511-2525 เทือกเขาหินร่องกล้านี้เคยเป็นฐานที่มั่นใหญ่ในการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นผลเกิดปัญหาความมั่นคงทางการเมืองขึ้น ในกลางปี พ.ศ. 2515 ทางราชการทหารจึงได้เปิดยุทธการภูขวาง โดยจัดกองพลผสมจากกองทัพภาคที่ 1, 2, 3 กรมการบินศูนย์สงครามพิเศษทหารเรือ ทหารอากาศ ตำรวจ และพลเรือน เข้าปฏิบัติเพื่อยึดภูหินร่องกล้า ทว่าไม่สำเร็จเพราะสภาพพื้นที่ไม่อำนวยเนื่องจากภูหินร่องกล้าตั้งอยู่กลาง เทือกเขาสูงชันสลับซับซ้อนเป็นป่ารกทึบ ต่อมากองบัญชาการทหารบก ได้เปลี่ยนแผนยุทธการในการปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ โดยใช้นโยบายที่ 66/2523 และคำสั่งที่ 65/2525 กองทัพภาคที่ 3 และทหารหน่วยผสม พลเรือน ตำรวจ ทหารที่ 3 (พตท. 33) ซึ่งนำโดย พันเอกไพโรจน์ จันทร์อุไร ผู้อำนวยการ พตท.33 ได้นำนโยบายใหม่นี้เข้าปฏิบัติการจนประสบความสำเร็จได้รับชัยชนะ โดยไม่เสียเลือดเนื้อแม้แต่น้อย บรรดาชาวบ้านและมวลชนของ ผกค. ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเขา เผ่าม้ง (แม้ว) ได้กลับใจไม่ให้ความร่วมมือกับ ผกค. และเข้ามอบตัวกับทางราชการส่วนแกนนำได้ละทิ้งฐานที่มั่นไป จากนั้น พตท. 33 จึงได้เริ่มพัฒนาพื้นที่แห่งนี้โดยการตัดถนนผ่านใจกลางภูหินร่องกล้า ต่อมา พตท. 33 ได้มีหนังสือ ด่วนมาก ที่ สร 4001(301)/324 ลงวันที่ 10 มกราคม 2526 ให้กองทัพภาคที่ 3 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 3 พิจารณาร่วมและประสานกับกรมป่าไม้เพื่อพิจารณา จัดตั้งบริเวณภูหินร่องกล้าเป็นอุทยานแห่งชาติ
กองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ได้นำเสนอคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติ เป็นผลให้มีมติในคราวประชุมครั้งที่ 1 /2526 เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2526 เห็น สมควรให้ออกพระราชกฤษฎีกากำหนดพื้นที่ป่าภูหินร่องกล้าให้เป็นอุทยานแห่ง ชาติ โดยได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนด บริเวณป่าภูหินร่องกล้าท้องที่ตำบลบ่อโพธิ์ ตำบลเนินเพิ่ม ตำบลบ้านแยง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก และตำบลกกสะท้อน อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็น อุทยานแห่งชาติ โดยได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 101 ตอนที่ 96 ลงวันที่ 26 กรกฎาคม 2527 เป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 48 ของประเทศ
ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพ ภูมิประเทศโดยทั่วไปเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ประกอบด้วยยอดภูเขาที่สำคัญคือ ภูหมันขาว ภูแผงม้า ภูขี้เถ้า ภูลมโล ภูหินร่องกล้า โดยมีภูหมันขาวเป็นยอดเขาที่สูงที่สุด สูงประมาณ 1 ,820 เมตรจากระดับน้ำทะเล เทือกเขาเหล่านี้จะมีความสูงลดหลั่นลงไปจากด้านทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก และ เป็นแหล่งกำเนิดของแม่น้ำลำธารหลายสาย เช่น ห้วยลำน้ำไซ ห้วยน้ำขมึน ห้วยออมสิงห์ ห้วยเหมือดโดน และห้วยหลวงใหญ่
ลักษณะภูมิอากาศ
ภู หินร่องกล้ามีสภาพภูมิอากาศคล้ายภูกระดึงและภูหลวงเนื่องจากมีความสูงไล่ เลี่ยกันอากาศจะหนาวเย็นเกือบตลอดปี โดยเฉพาะในฤดูหนาวอุณหภูมิจะต่ำมากประมาณ 0-4oC มีหมอกคลุมทั่วบริเวณ ส่วนฤดูร้อนอากาศจะเย็นสบายฝนตกชุกในฤดูฝน อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี ประมาณ 18-25oC
พรรณไม้และสัตว์ป่า
อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ 3 ชนิด คือ ป่าเต็งรัง ป่าดิบเขา และป่าสนเขา ป่าเต็งรัง เป็นป่าที่ขึ้นในพื้นที่ระดับต่ำบริเวณเชิงเขา พื้นที่เป็นดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์และค่อนข้างแห้งแล้ง พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง พยอม เหียง ตะคร้อ พลวง ฯลฯ ป่าดิบเขา จะขึ้นในบริเวณเขาสูง ซึ่งมีปริมาณน้ำฝนค่อนข้างมาก อากาศชื้น เป็นป่ารกทึบ พันธุ์ไม้ที่พบเห็นทั่วไป ได้แก่ ก่อเดือย ก่อหัวหมู อบเชย ทะโล้ ฯลฯ ส่วนพืชพื้นล่าง ได้แก่ หวาย ปาล์มชนิดต่างๆ ป่าสนเขา เป็นป่าบนที่ราบหลังภู มีสนสองใบและสนสามใบขึ้นปะปนกัน ส่วนใหญ่เป็นสนสองใบ บางแห่งอยู่รวมกันเป็นป่าสนกว้างใหญ่นอกจากนี้ยังพบกล้วยไม้ป่าดอกไม้ป่าหลายชนิดขึ้นอยู่ตามลานหิน เช่น ม้าวิ่ง เอื้องตาหิน เอื้องคำหิน เอื้องสายสามสี ช้องนางคลี่ เหง้าน้ำทิพย์ กุหลาบขาว กุหลาบแดง ฟองหิน รวมทั้งมอส เฟิน ไลเคนล์ และตะไคร่ชนิดต่างๆ ซึ่งในช่วงปลายฤดูฝนต่อฤดูหนาวดอกไม้ป่าเหล่านี้จะออกดอกบานสะพรั่งมีสีสัน งดงามในอดีตภูหินร่องกล้า เคยมีสัตว์ป่าหลายชนิด เช่น เสือ กวางป่า เก้ง กระจง นกชนิดต่าง ๆ ครั้นต่อมาเมื่อกลายเป็นแหล่งอาศัยของคนจำนวนมาก และยังเคยเป็นสมรภูมิแห่งการสู้รบมาก่อน สัตว์ป่าต่างๆ จึงถูกล่าเป็นอาหาร ในปัจจุบันเหตุการณ์ต่าง ๆ สงบลง จึงมีสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เช่น เสือ เก้ง กระจง หมี และนกหลายชนิดเข้ามาอาศัยอยู่มากขึ้น

ธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติแม่เมย


ความเป็นมา : เริ่มมีการสำรวจว่าจัดตั้ง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2532 เป็นหน่วยงานกองอุทยานแห่งชาติ กรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ใช้ชื่อว่า อุทยานแห่งชาติแม่เมยนั้น เพราะว่ามีแม่น้ำเมยซึ่งกั้นระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า เป็นเขตด้านทิศตะวันตกเกือบ 50 กิโลเมตร จากทิศเหนือจรดทิศใต้ อีกทั้ง แม่น้ำเมยนั้นเป็นแม่น้ำที่แปลกคือ จะไหลมาทางทิศใต้ ขึ้นไปทางทิศเหนือ พื้นที่ที่ทำการสำรวจจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติ ส่วนหนึ่งเป็นพื้นที่ของวนอุทยานถ้ำแม่อุสุ และรวมพื้นที่ของป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าสองยางบางส่วน เป็นแนวเทือกเขาถนนธงชัย โดยเริ่มจากตำบลแม่ต้าน ผ่านตำบลแม่สอง จนถึงตำบลท่าสองยาง อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก มีพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 713,750 ไร่ หรือ 1,142 ตารางกิโลเมตรอุทยานแห่งชาติแม่เมย ได้รับการประกาศจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติตามพระราชกฤษฎีกากำหนดบริเวณ ที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ ป่าท่าสองยาง ในท้องที่ตำบลแม่สอง และตำบลแม่อุสุ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 40 ก ลงวันที่ 20 พฤษภาคม 2542 มีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 115,800 ไร่ หรือ 185.28 ตารางกิโลเมตร ในท้องที่ตำบลแม่อุสุนั้น เดิมเป็นวนอุทยานถ้ำแม่อุสุ มีอาณาเขตทิศเหนือจดแม่น้ำเมย ทิศใต้จดห้วยโป่งและห้วยม่วง ทิศตะวันออกจดห้วยพูลซะ ห้วยพอนอโก ตามทางหลวงสายแม่สอด-แม่สะเรียง ทิศตะวันตกจดแม่น้ำเมย ในท้องที่ตำบลแม่สอง เดิมเป็นพื้นที่ป่าสัมปทานเก่า อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าท่าสองยาง มีอาณาเขตติดต่อดังต่อไปนี้ คือ ทิศเหนือจดทางหลวงสายแม่สลิด – อมก๋อย ทิศใต้จดลำน้ำแม่สองและทางหลวงสายแม่สอด–แม่สะเรียง ทิศตะวันออกจดห้วยแม่หลุยและลำน้ำแม่สอง ทิศตะวันตกจดแม่น้ำเมย
ลักษณะภูมิประเทศ
ส่วน มากเป็นภูเขาสลับซับซ้อนมีที่ราบน้อยมาก โดยมีความสูงเฉลี่ย 680 เมตร จากระดับน้ำทะเล จุดสูงสุด 1,250 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ที่ค่อนข้างสมบูรณ์ แต่ไม้ใหญ่มีน้อย เป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของลำน้ำแม่สอง ลำน้ำแม่อุสุ ลำน้ำแม่สลิดหลวง และแม่น้ำเมย
ลักษณะภูมิอากาศ
จะ มีฝนตกชุกมากในฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - เดือนตุลาคม ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการท่องเที่ยว ฤดูร้อนอากาศค่อนข้างอบอุ่น และจะหนาวถึงหนาวจัดในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะแก่การรองเที่ยวชมทะเลหมอก และสภาพทิวทัศน์ทั่วไปเป็นอย่างมาก พื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่เมยได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ที่พัดจากทะเลอันดามัน ประกอบกับอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าเขา ทำให้ได้รับลมมรสุมมากกว่าบริเวณอื่น มีฝนตกชุกเหมือนภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีฝนตกชุกมากในฤดูฝนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม - เดือนตุลาคม ซึ่งไม่เหมาะสมต่อการท่องเที่ยว ฤดูร้อนอากาศค่อนข้างอบอุ่น และจะหนาวถึงหนาวจัดในฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะแก่การท่องเที่ยวชมทะเลหมอก และสภาพทิวทัศน์ทั่วไปเป็นอย่างมาก
พรรณไม้และสัตว์ป่า
พื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่เมยสามารถจำแนกสังคมพืชออกได้เป็น ป่าดิบแล้ง พบตามหุบเขาทั่วไปในระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 300-700 เมตร พันธุ์ไม้ที่ขึ้นอยู่จำพวก ตะเคียนหิน ตะแบก สมพง ชมพู่ป่า กระบาก ยาง รกฟ้า สมอพิเภก ฯลฯ พืชพื้นล่างเป็นพวก ไผ่ หวาย เฟิน เร่ว เป็นต้น ป่าดิบชื้น จะพบในระดับสูงขึ้นมา โดยเฉพาะตามหุบเขาและริมห้วยในระดับความสูงจากน้ำทะเล 400-1,200 เมตร เป็นป่าทึบประกอบด้วย ยาง ตะเคียนหิน อบเชย มะไฟป่า อินทนิน ค้อ กระทุ่มน้ำ ลำพูป่า ฯลฯ พืชพื้นล่างเป็นพวกหวาย เต่าร้าง ไผ่สีสุก ไผ่หก ไผ่หนาม เฟิน ปรง และพืชในวงศ์ขิงข่า เป็นต้น ป่าดิบเขา พบตามภูเขาในระดับความสูงจากน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป พันธุ์ไม้ที่ขึ้นได้แก่ ก่อเดือย ก่อแป้น อบเชย ทะโล้ จำปีป่า ฯลฯ ป่าสนเขา ส่วนใหญ่ขึ้นเป็นหย่อมเล็กหย่อมน้อยในระดับความสูง700-1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล พันธุ์ไม้ที่ขึ้นได้แก่ สนสองใบ สนสามใบ และก่อชนิดต่างๆ ป่าเบญจพรรณ โดยมากพบอยู่ริมห้วยและหุบเขาในระดับ 300-600 เมตรจากระดับน้ำทะเล พันธุ์ไม้ที่พบจำพวก สัก แดง ประดู่ มะค่าโมง มะค่าแต้ ชิงชัน ขะเจ๊าะ เสลา ตีนนก โมกมัน ฯลฯ และป่าเต็งรัง มักขึ้นอยู่บนเนินเขา ไหล่เขา และเชิงเขา โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีหินโผล่ พันธุ์ไม้ที่พบได้แก่ เต็ง รัง เหียง พลวง ส้าน มะขามป้อม ยอป่า สลักป่า ติ้ว แต้ว เป็นต้นสัตว์ป่าในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่เมยมีจำนวนน้อย อันเป็นผลเนื่องมาจากการล่า การยิง และถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าถูกทำลาย สัตว์ที่หลงเหลืออยู่จะเป็นสัตว์ขนาดเล็ก สัตว์ใหญ่พบน้อยมาก ที่สามารถพบเห็นได้บ่อย เช่น เก้ง กระจง หมี หมูป่า ลิง ชะนี ค่าง ลิงลม อีเห็น ชะมด เม่น เม่น กระต่ายป่า กระรอก ไก่ป่า นกเงือก นกขุนทอง นกตะขาบทุ่ง นกกะรางหัวหงอก นกเขาเขียว งูเห่า งูจงอาง งูเหลือม งูสิง ตะกวด แย้ กิ้งก่า ตะพาบน้ำ กบ เขียด เป็นต้น
ลักษณะภูมิประเทศ
สภาพ โดยทั่วไปเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน ภูเขาทางด้านตะวันออกส่วนใหญ่เป็นภูเขาหินชั้น มีดอยที่สำคัญได้แก่ ดอยถ้ำแกลบ ดอยหัวโท ดอยขุนห้วยไซ ดอยผาแดง ดอยถ้ำง๊อบ ดอยด่านฟาก เป็นต้น ภูเขาทางด้านตะวันตกส่วนใหญ่ เป็นเขตที่มีผืนป่าใหญ่ปกคลุมอยู่มีดอยที่สำคัญได้แก่ ดอยกำพร้า ดอยปุกผักกา ดอยเหล็กจี ดอยสันกิ่วคมพร้า ดอยกิ่วฮูลม ดอยถ้วย ดอยยางกลอ เทือกเขาตอนกลางระหว่างห้วยแม่จกถึง บ้านหนองเขียวแนวเหนือ-ใต้ เป็นที่ราบลุ่มที่มีความสูงไม่มาก มีดอยถ้ำยุง ดอยขุนเป้า เป็นต้น พื้นที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลระหว่าง 400-1,800 เมตร มียอดเขาทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่มีความสูงสุดของพื้นที่ได้แก่ ดอยปุกผักกา มีความสูง 1,794
ลักษณะภูมิอากาศ
อุทยาน แห่งชาติเป็นบริเวณที่มีฝนตกชุก เพราะอยู่ในแนวทางที่มีร่องอากาศพาดผ่าน โดยได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ภูมิอากาศโดยทั่วไปอากาศค่อนข้างจะร้อนในฤดูร้อนจะหนาวเย็นในฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุด 7.5 องศาเซลเซียส และเฉลี่ยสูงสุด 26.7 องศาเซลเซียส ฝนตกชุกในฤดูฝน มีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปีประมาณ 1,838.5 มิลลิเมตร โดยเดือนสิงหาคมจะมีฝนตกมากที่สุด ลักษณะอากาศที่ผิดปกติ ไม่มีภัยธรรมชาติร้ายแรงมากนัก ยกเว้นในช่วงฤดูฝนมักมีลมแรงจัด ในช่วงฝนตกหนัก มีลูกเห็บตกตามมา ทำลายผลไม้ให้เสียหายได้ และอาจมีน้ำไหลบ่าด้วยความรวดเร็ว มีปริมาณน้ำมากทำความเสียหายแก่เส้นทางคมนาคมในเขตพื้นที่หรือบริเวณใกล้ เคียง
พรรณไม้และสัตว์ป่า
เนื่อง จากลักษณะภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน สภาพป่าอุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารหลายชนิด ชนิดป่าประกอบด้วย ป่าไม่ผลัดใบ ได้แก่ ป่าดงดิบแล้ง ป่าดงดิบเขา ป่าสนเขา พันธุ์ไม้ที่สำคัญคือ จำปีป่า ยาง ตะเคียน สมอพิเภก อบเชย ทะโล้ ไม้สนเขา ไม้เหียง ไม้พลวง ป่าผลัดใบ ได้แก่ เบญจพรรณ ป่าเต็งรัง พันธุ์ไม้ที่สำคัญคือ ประดู่ แดงตะแบก ยอป่า เสลา ยมหิน ไผ่เวก ไผ่ป่า หญ้าชนิดต่างๆ เต็ง รัง ติ้ว แต้ว สมอไทย กระโดนฯลฯ ป่าแห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าหลายชนิด เพราะเป็นป่าผืนเดียวกับป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดอยเชียงดาว อำเภอเชียงดาว สัตว์ป่าที่สำคัญประกอบด้วย กวางผา เก้ง หมูป่า วัวแดง กระทิง เม่น ค่าง อีเห็น กระรอก กระแต นกนานาชนิด สัตว์เลื้อยคลานชนิดต่างๆสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เช่น กบชนิดต่างๆ คางคก อึ่งอ่าง เขียด ฯลฯ ส่วนใหญ่พบตามลุ่มน้ำ

ธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติดอยจง


อุทยานแห่งชาติดอยจง มีพื้นที่ประมาณ 207,500 ไร่ อยู่ในท้องที่อำเภอสบปราบ อำเภอเถิน อำเภอแม่พริก จังหวัดลำปาง และอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน หากผ่านไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 106 ช่วงรอยต่อระหว่างอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง กับอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน นักเดินทางจะมีโอกาสชื่นชมกับป่าเต็งรังและป่าเบญจพรรณที่ปกคลุมหนาแน่นสองฟากถนนยิ่งช่วงปลายฤดูหนาว ป่าผืนนี้จะยิ่งงดงามด้วยต้นไม้ที่พากันเปลี่ยนสีก่อ นทิ้งใบร่วงในหน้าแล้ง ป่าผืนนี้เป็นป่าผลัดใบที่ยังคงความสมบูรณ์มากที่สุดอีกแห่งหนึ่ง เป็นที่ราบกว้างซึ่งมีป่าสนเขาขึ้นกระจายเป็นกลุ่ม ๆ และมีหน้าผาเป็นจุดชมทิวทัศน์อยู่หลายแห่งสามารถชมทิวทัศน์ได้ทั้งยามดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าในยามเช้าและลับขอบฟ้าในยา มเย็น นอกจากนี้บนดอยจงยังพบกล้วยไม้จำนวนมาก โดยเฉพาะ กล้วยไม้ฟ้ามุ่ย ซึ่งมีสีงดงามแปลกกว่าฟ้ามุ่ยในพื้นที่อื่น โดยจะออกดอกในช่วงเดือนตุลาคม-มกราคม จากที่ทำการอุทยานแห่งชาติมีเส้นทางเดินขึ้นสู่ยอดดอยจงระยะทางประมาณ 7 กิโลเมตร สภาพทางค่อนข้างชัน ใช้เวลาเดินขึ้นราวครึ่งวัน ผู้สนใจต้องติดต่อเจ้าหน้าที่ช่วยนำทาง ยอดดอยจงเป็นดอยที่สูงที่สุด เคยเป็นสถานีโทรคมนาคมของกองทัพอากาศมาก่อน แต่หลังจากที่กองทัพอากาศสร้างสถานีเรดาร์ที่ยอดดอยอินทนนท์ สถานีที่นี่จึงได้ยกเลิกไป และอุทยานฯ ได้เข้ามาดูแลต่อ โดยจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ทุกวัน จาก สันเขามองลงไปเห็นท้องนากว้างใหญ่ของอำเภอสบปราบและอำเภอเกาะคา ทางขึ้นกับทางลงเป็นคนละเส้นกัน ทางลงชันมากและพื้นที่เป็นก้อนกรวดเล็ก ๆ ขาขึ้นใช้เวลาเดินเท้านานกว่า 5ชั่วโมง ทางลงจะผ่านสันป่าเกี๊ยะ ซึ่งมีต้นสนสองใบและสนสามใบขึ้นอยู่หนาแน่นกว่าบริเวณอื่น เหมาะที่จะค้างแรม การเดินทาง ขึ้นยอดดอยจง ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่นำทาง เตรียมเสบียง เต็นท์ ถุงนอน และสัมภาระส่วนตัวไปเอง ควรใช้เวลาเดินขึ้น 2 วัน โดยคืนแรกพักที่สันป่าเกี๊ยะ ซึ่งเป็นป่าสนสองใบและสนสามใบ รุ่งเช้าเดินขึ้นยอดดอย คืนที่สองพักบนยอดดอย จง แล้วเตรียมตัวกลับในช่วงสาย บนสันเขาปกคลุมไปด้วยป่าก่อสลับต้นสนเป็นระยะ พื้นล่างเต็มไปด้วยต้นกระเจียวที่ออกดอกสีชมพูในช่วงต้นฤดูฝน สถานที่น่าสนใจภายในเขตอุทยานฯ ได้แก่ ผากาน อยู่ห่างจากยอดดอยจงประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นทางดิ่งลงเขาตลอด เป็นเส้นทางที่เหมาะสำหรับดูนก เป็นผาหินปูนแหลมคมการปีนขึ้นต้องใช้ความระมัดระวัง บนผามองเห็นผืนป่าและทิวเขาทอดตัวยาว ทางด้านหลังมองเห็นยอดดอยจงอยู่สูงกว่าระดับสายตา จุดชมทิวทัศน์ป่าแม่อาบ บริเวณสองข้างทางถนนสายเถิน-ลี้ ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 13-26 น้ำตกแม่งาช้าง เป็นน้ำตกขนาดเล็กสูงประมาณ 12 เมตร มีน้ำเฉพาะฤดูฝน อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ ประมาณ 2 กิโลเมตร ในท้องที่ตำบลนายาง อำเภอสบปราบ น้ำตกตาดปู่หล้า เป็นน้ำตกขนาดเล็ก 2 ชั้น มีน้ำเฉพาะฤดูฝน อยู่ห่างจากที่ทำการอุทยานฯ 1 กิโลเมตร ในท้องที่ตำบลนายาง อำเภอสบปราบ ผาข้าง อยู่ตรงข้ามที่ทำการอุทยานฯ เป็นภูเขาลูกเล็ก ๆ ริมอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ยอง บนเขามองลงมาเห็นอ่างเก็บน้ำ ที่ทำการอุทยานฯ และทิวเขาสลับซับซ้อนเป็นฉากหลัง นอกจากนี้ยังมีถ้ำและน้ำตกอื่น ๆ ที่สำรวจพบแต่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเต็มที่ เช่น น้ำตกห้วยแม่ปู น้ำตกห้วยค่าง ผายอง ถ้ำห้วยแดง ถ้ำก้นหอย และถ้ำแม่เก่ง สถานที่พัก ทางอุทยานฯ ยังไม่มีบ้านพักและร้านอาหารบริการ มีแต่สถานที่กางเต็นท์ให้บริการนักท่องเที่ยว หากสนใจที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติ ท่านสามารถนำเต็นท์และอาหารไปเอง หรือติดต่อขอใช้บริการเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติ หากต้ องการซื้อของสดไปทำอาหารในตัวอำเภอสบปราบมีร้านอาหารอยู่บ้าง มีตลาดสดตอนเมืดและตอนเย็น ในอุทยานฯ ปั่นไฟฟ้าใช้เอง น้ำที่ใช้เป็นน้ำจากลำห้วยแม่งาช้าง ติดต่อรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่กางเต็นท์/เต็นท์ ได้ที่อุทยานแห่งชาติดอยจง หมู่ 6 บ้านนาไม้แดง ตำบลนายาง อำเภอสบปราบ จังหวัดลำปาง 52170 การเดินทาง รถยนต์ ที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยจง ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอ สบปราบ จังหวัดลำปาง การเดินทางเริ่มจากอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ไปตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ลงไปทางใต้ประมาณ 54 กิโลเมตร ถึงที่ว่าการอำเภอสบปราบ ให้เลี้ยวขวาไปตามถนนกรมโยธาธิการสายบ้านหล่าย–บ้านแก่น เมื่อถึงบ้านนาไม้แดง จากถนนพหลโยธิน ประมาณ 8 กิโลเมตร ให้เลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 7 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยจง รวมระยะทางจากอำเภอเมือง จังหวัดลำปาง ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติดอยจง ประมาณ 68 กิโลเมตร

ธรรมชาติ ณ น้ำตกสาริกา



น้ำตกสาริ กา เป็นน้ำตกในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตั้งอยู่ที่ตำบลสาริกา เดินทางจากตัวเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 3049 เป็นระยะทาง 12 กิโลเมตร แล้วแยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 3050 อีก 3 กิโลเมตร เป็นทางลาดยางตลอดสาย น้ำตกสาริกาเป็นน้ำตกขนาดใหญ่สายน้ำไหลตกจากหน้าผาเป็ นทอด ๆ ถึง 9 ชั้น ผาที่สูงที่สุดประมาณ 200 เมตร แต่ละชั้นมีอ่างรับน้ำและมีน้ำมากในฤดูฝน ส่วนฤดูแล้งน้ำแห้ง บริเวณด้านล่างของน้ำตกมีบริการห้องอาบน้ำ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ค่าเข้าชมน้ำตกผู้ใหญ่คนละ 20 บาท เด็ก 10 บาท ในบริเวณใกล้เคียงกันมี “ถ้ำสาริกา” อาจารย์มั่น ภูริฑตฺโต เคยมาบำเพ็ญศาสนธรรมที่นี่ระหว่าง พ.ศ. 2460-2463สภาพเป็นเนินเขา ภายในบริเวณประกอบด้วยกุฏิของสงฆ์ เรือนบูชาหลวงปู่มั ่น และโบสถ์ ซึ่งอยู่สุดทางเดินเท้าขึ้นเขา

ธรรมชาติ ณ หมู่เกาะพีพี



อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในทะเลอันดามันด้านทิศตะวันตกของภาคใต้ เป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลที่มีลักษณะสวยงามตามธรรมชาติ รอบ ๆ เกาะมีปะการัง กัลปังหา ทิวทัศน์ใต้ทะเลที่งดงาม และเอกลักษณ์ทางธรรมชาติคือภูเขาหินปูนที่มีหน้าผาเป็นชั้น ๆ ถ้ำที่สวยงาม ตลอดจนชายหาดยาวสะอาด สุสานหอย 40 ล้านปี ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ 389.96 ตารางกิโลเมตร หรือ 243,725 ไร่

ลักษณะภูมิประเทศ
บริเวณ หมู่เกาะพีพี ส่วนใหญ่เป็นเกาะ ที่เป็นภูเขาหิน และหน้าผาสูงชัน มีต้นไม้ปกคลุมขึ้นตามซอกหิน ไม้ที่ขึ้นเป็นไม้ขนาดเล็กและแคระแกรน บริเวณหน้าผาจะมีปะการังที่สวยงาม บริเวณหาดนพรัตน์ธารา-อ่าวพระนาง ประกอบไปด้วยภูเขา ป่าบก ป่าเลน ที่ราบชายหาดและหมู่เกาะต่างๆ บนบกจะปกคลุมด้วยไม้เล็กไม้ใหญ่มากมายหลายชนิด
บริเวณสุสานหอย 40 ล้านปี ส่วนที่สำคัญอยู่ริมฝั่งทางตะวันตก มีความยาวประมาณ 1 กิโลเมตร กว้าง 50 เมตร เป็นแผ่นหอยที่เกาะตัวกันจนแข็งเป็นแผ่นหินสลับกับชั้นของถ่านลิกไนต์ หนาประมาณชั้นละ 10 นิ้ว
ลักษณะภูมิอากาศ
สภาพภูมิอากาศอยู่ในเขตมรสุม ในฤดูฝนจะมีฝนตกชุก ระหว่างเดือนเมษายน-ตุลาคม ส่วนระหว่างเดือนมกราคม-เมษายน เป็นช่วงที่อากาศเย็นสบายและเหมาะแก่การท่องเที่ยว
พันธุ์ไม้และสัตว์ป่า
ที่ทำการอุทยาน
ผักบุ้งทะเล เกาะพีพีดอน
สำหรับพันธุ์ไม้ในเขตอุทยานฯ มี 3 ประเภท คือ
ป่าดงดิบชื้น ปรากฏพบบริเวณที่เป็นภูเขาสูงชัน บริเวณเขาหางนาค บริเวณอ่าวพระนาง บริเวณทิศตะวันตกของเกาะพีพีดอน
ป่าชายเลน มีอยู่ในบริเวณคลองแห้ง ใกล้ที่ทำการอุทยานฯทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเขาหางนาค และบริเวณคลองย่านสะบ้า ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสุสานหอยฯ
ป่าพรุ เป็นสังคมพืชเด่นที่พบต้นเสม็ดขึ้นอยู่อย่างหนาแน่นสมบูรณ์ ปรากฏอยู่เฉพาะบริเวณหาดนพรัตน์ธาราเป็นบริเวณแคบๆประมาณ 0.32 ตารางกิโลเมตร
สรุปชนิดของพันธุ์ไม้โดยทั่ว ๆ ไปที่พบ ประกอบด้วย ไม้ตะเคียน ยาง สน จันทร์ผา ตะแบก อินทนิล เสม็ด พะยอม แดง โกงกาง แสม ตะบูน ถั่วดำ ถั่วขาว เป็นต้น สัตว์ป่า ประกอบด้วย กระรอก หมูป่า กระจง เก้ง เลียงผา ลิง ค่าง ชะนี หนูหริ่ง นกนานาชนิด เช่น นกนางนวล นกนางแอ่น และสัตว์น้ำนานาชนิด